PharmaCafe.com

คิดยังไงเกี่ยวกับอาหารเสริมที่อ้างว่าใช้รักษาเบาหวาน ความดัน โดยไม่ต้องใช้ยาครับ
คือ เคยมีคนบอกว่าอาหารเสริมบางตัวรักษา เบาหวาน ความดัน ได้ดีกว่ายา และไม่เกิดพิษต่อไตเหมือนยา ซึ่งส่วนตัวผมละไม่เชื่อเลยคับ

น่าเสียดายค่ะ ถ้าวิชาชีพเภสัชศาสตร์ ซึ่งควรเป็นวิชาชีพที่เข้าใจการใช้วิตามินและอาหารเสริมมากที่สุด กลับไม่ค่อยมีใครใส่ใจการใช้อย่างถูกวิธี ต่างประเทศมีการใช้วิตามินรักษาโรคมานานแล้ว ที่สำคัญงานวิจัยที่ใช้ฤทธิ์วิตามินในการรักษาก็มีเยอะแยะไป สมมติว่าใครสักคนโฆษณาว่า มะรุม รักษาได้ทุกโรค ในฐานะที่เราเป็นเภสัชกร ต้องมีคนมาถามแน่นอน แล้วเราจะตอบเขาแค่ว่า ไม่ต้องไปเชื่อหรอก ไม่จริง แค่นั้นเหรอคะ ถ้าเราจะตอบแค่นั้นเพียงเพราะว่าเราไม่รู้ ก็ตอบไปเลยค่ะ ว่าไม่รู้ แล้วจะหาข้อมูลมาให้ อย่าให้กลายเป็นเราเอง ที่เป็นคนทำร้ายศาสตร์แห่งการใช้วิตามิน สมุนไพร หรือแพทย์ทางเลือก และทำให้คนไข้ไม่ได้รับอะไรกลับไปเลย แล้วเขาจะไปบอกคนรู้จักที่แนะนำมา แล้วบังเอิญหากคนรู้จักนั้นกินแล้วอาการโรคดีขึ้น เขายิ่งจะไม่เชื่อวิชาชีพเราใหญ่ ทุกวันนี้ก็แทบไม่มีใครเชื่ออยู่แล้ว อาหารเสริมและวิตามินสัมพันธ์กับวิชาชีพเรามากกว่าที่เราเรียนกันเพียงแค่ 1 บทในห้องเรียน หรือเอาไปใช้สอบใบประกอบวิชาชีพเพียงแค่ 5 ข้อเท่านั้น ส่วนเรื่องการโฆษณาชวนเชื่อทั้งหลาย หากเรามีความรู้ และภูมิคุ้มกันดีพอ เราจะอธิบายคนอื่นได้อีกมากมายว่า ทำไมตัวนั้นรักษาได้ แล้วรักษาได้ในระดับไหน ไม่ถึงขั้นที่โฆษณาไว้ยังไง ทุกวันนี้ไม่เห็นมีเภสัชกรออกตัวเรื่องนี้เท่าไร แต่กลับมีหมอจำนวนมาก ที่ไปเรียนเรื่องแพทย์ทางเลือก และนำมาใช้ได้จริง และยังเป็นวิทยากรให้กับองค์กรต่างๆมากมาย ทำไมเราไม่มองเหตุการณ์นี้ให้เป็นโอกาสในการศึกษาล่ะคะ และเปิดบทบาทตนเองด้วย วันนึงศาสตร์นี้จะเป็นศาสตร์สำคัญในการรักษามากขึ้น หากใครไม่ปรับตัว คงยากที่จะอยู่รอด เภสัชกรก็ผลิตมากขึ้น จุดเด่นก็ไม่มี วิชาชีพตัวเองก็โดนคนอื่นแย่งทำมาหากินหมด เมื่อถึงวันนั้นคุณยังจะพูดแค่ว่า ผมไม่เชื่อหรอก หรือคะ

คุณเจ้าของกระทู้ เขาบอกว่าไม่เชื่อว่าใช้อาหารเสริมอย่างเดียวในการรักษาเบาหวาน ความดัน ได้โดยไม่ต้องใช้ยาเลย ไม่น่าจะไปว่าเขานะครับ เพราะ ผมก็คิดว่าถ้าเป็นมากๆ การใช้แต่อาหารเสริมอย่างเดียว โดยไม่ต้องใช้ยาไม่น่าจะเพียงพอครับ

ประโยคไหนที่ดิฉันทำให้คุณเข้าใจว่าดิฉันว่าเจ้าของกระทู้คะ คำว่าไม่เชื่อ กับ ไม่รู้น่ะ มันต่างกัน ใช้ให้เป็นด้วย

หากประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยจริง ประชาชนคนไทยก็ต้องกล้ายอมรับความเห็นที่แตกต่าง เพื่อพัฒนาตนเองและประเทศ

ดิฉันคงไม่มานั่งถกโดยใช้พื้นฐานความรู้ที่มีเรื่องพวกนี้ว่าการใช้วิตามินและอาหารเสริมเพียงอย่างเดียวรักษาโรคได้อย่างไร เพราะไม่มีประโยคใดที่ดิฉันกล่าวไว้ว่า ใช้อาหารเสริมเพียงอย่างเดียวโดยไม่ต้องใช้ยาก็รักษาโรคได้แต่อย่างใด แต่ดิฉันมองว่า หากเราไม่เชื่อก็ควรหาข้อมูลและศึกษาเพิ่มเติม ในเมื่อมันเป็นส่วนหนึ่งของวิชาชีพ การเลือกปิดประตูรับข้อมูล เพียงเพราะใจคิดว่าไม่เชื่อ กลับทำให้โลกแคบลง และไม่ได้ประโยชน์อะไร หากเราคิดว่ามันไม่น่าเชื่อ แล้วลองหาข้อมูล พิสูจน์โดยพื้นฐานความรู้ที่มีอยู่แล้ว ก็จะเกิดประโยชน์อีกมากมาย

เปลี่ยนความคิดมายอมรับตนเองว่า ตนเองไม่รู้ แล้วเปลี่ยนให้ตนเองรู้จริง จะไม่ดีกว่าเหรอคะ

วันนี้ดิฉันยังไม่รู้จริงพอจะมาบอก มาสอนพวกคุณ แต่ดิฉันมั่นใจว่า วันหนึ่งประเทศไทยก็ต้องใช้แพทย์ทางเลือกในการรักษามากขึ้น แล้ววันนั้นดิฉันมั่นใจว่ามีที่ยืนสำหรับดิฉันแน่นอน ขอบคุณที่ทำให้ดิฉันเข้าใจและเชื่อแล้วที่พี่เภสัชกรรุ่นดึกๆเล่าให้ฟังว่า ประเทศไทยอีกกี่ปีก็เหมือนเดิม มันเป็นเรื่องจริง เพราะกี่ปีกี่ปีก็เหมือนเดิม จริงๆ

แล้วจริงๆตอนนี้มีข้อมูลยืนยันประสิทธิภาพประสิทธิผลของอาหารเสริมที่เชื่อถือได้ไหมครับ มี trial อะไรที่ออกแบบการวิจัยได้ถูกต้อง

ใช้สถิติได้ถูกต้องไม่เอนเอียง แล้วถ้าอาหารเสริมมีประสิทธิภาพจริงๆอย่างนั้น ทำไมไม่ขึ้นทะเบียนยาซะ สงสัยจัง

ใจเย็นเน้อ

เจ้าของกระทู้เค้าพูดแค่ว่า ไม่เชื่อในอาหารเสริม

พวกที่หลอกลวงประชาชน
ไม่เกี่ยวกะวิตามินครับ ^^

คำถามของพี่ ruralphar ดีค่ะ อันนี้น่าตอบ จริงๆข้อมูลพวกนี้หาโดยใช้วิธีการเดียวกับหาข้อมูลการรักษาโดยใช้ยานั่นแหละค่ะ journal ที่ใช้เป็นหลัก จะเป็นของ Nutrition หรือถ้าจะ search ใน search engine ทั้งหลาย ก็อาจใช้คำว่า clinical nutrition, pharmaceutical nutrition ส่วนการเลือกข้อมูลที่น่าเชื่อถือ คิดว่าเภสัชกรทุกคนคงมีวิจารณญาณด้วยตนเองอยู่แล้วอ่ะนะคะ ไม่มีประโยชน์อันใด ถ้าต้องสอนจระเข้ว่ายน้ำ ส่วนโฆษณาชวนเชื่อทั้งหลาย ก็อย่างที่บอกว่า ถ้าเรามีองค์ความรู้พอ เราจะสามารถอธิบายพ่อแม่พี่น้อง และคนไข้ได้ นอกจากเลือกดูแลตัวเองได้ ก็ช่วยเหลือคนอื่นได้อีก จึงไม่มีประโยชน์อันใด ที่จะคิดว่า ฉันไม่เชื่อมัน ฉันเกลียดมัน เพราะมันหลอกฉัน เลย

rinko เขียน:ส่วนการเลือกข้อมูลที่น่าเชื่อถือ คิดว่าเภสัชกรทุกคนคงมีวิจารณญาณด้วยตนเองอยู่แล้วอ่ะนะคะ

ตรงนี้แหละครับที่สำคัญ

ทุกวันนี้มันมีหรือครับ ที่บอกว่าอาหารเสริมสามารถอ้างว่าใช้รักษาเบาหวาน หรือความดันได้ตามที่ปรากฏใน Clinical trials

ส่วนมากมันเป็นแค่แนวโน้ม และผลที่ได้มันยังไม่มีนัยสำคัญทางวิทยาศาสตร์ เวลาดูข้อมูลต้องดูหลายๆแหล่ง ไม่ใช่เห็นแค่ paper เดียวก็เอามาใช้แล้วเหมือนพวกบริษัทอาหารเสริมที่พยายามใช้อยู่ ข้อมูลพวกนี้เราให้่ความรู้คนไข้ได้ แต่เป็นผมจะให้คนไข้เป็นคนตัดสินใจในการเลือกเองหลังจากที่เราให้ข้อมูลแล้วครับ

ถึงคุณ rinko ครับ สิ่งที่คุณ rinko พูกดถึงผมเห็นด้วยนะคับเรื่องศาสตร์แห่งการใช้อาหารเสริม บางทีอาจจะเพิ่ม QOF ได้ดีมากกว่าการใช้ยา(บางทีนะคับ) แต่ผมขออธิบายเรื่องที่ว่า"ไม่เชื่อหรอกครับ" คืออย่างงี้นะคับผมเจอ 2 เหตุการณ์เหตุการณ์แรก มีคนเค้าบอกว่ายายของเค้าเป็นโรคเบาหวาน ความดันสูงมา 10 ปีละกินยาตลอดแต่ 2 เดือนที่ผ่านมาเค้าให้ยายหยุดยา (ตกใจนิดๆ) และมาทานอาหารเสริมตัวนึงชื่อ BXXS ปรากฏว่าความดัน น้ำตาลในเลือด ปกติ ผมถามว่าได้บอกหมอตอนไปตามนัดไหม แกบอกว่าไม่ได้บอก แต่ต่อไปนี้จะหยุดทานยาละจะทานอาหารเสริมตัวนี้แทน ผมเลยอธิบายต่างๆนาๆ แนะนำว่าให้ทานคู่กันดีกว่า แล้วบอกหมอด้วย ถ้าในอนาคตอาจปรึกษาเรื่องลดขนาดยา จำนวนยาก็ได้นะคับ เค้าก็เค้าใจ แต่เรื่องที่สองมีคนมาพูดหเน็บๆแนมๆผมว่าอาหารเสริมดังกล่าวดีกว่ายามากๆ แกบอกว่าทายแทนยาได้เลย ผมก็เกิดอาการเซ็งนิดๆเพราะแกไม่ได้บอกเหตุผลเลยว่าทำไมดีกว่ายา มันออกฤทธิ์ยังไง มีการศึกษาที่ดีมาอธิบายไหม ผมเลยมาถามพี่ๆเภสัชกรดูว่าใครมีความคิดเห็นอะไรบ้าง เพื่อจะได้ข้อมูลดีๆกลับไปคับ สรุปคือที่ว่า "ไม่เชื่อหรอกครับ" คือ ไม่เชื่อว่าอาหารเสริมจะใช้แทนยาที่ใช้ใน เบาหวาน ความดันได้เลย คับ

ขอแก้ QOF เป็น QOL นะครับ ผมว่าเราอย่าทะเลาะกันเลยนะคับ ทุกคนมีเหตุผลขอตัวเอง ไม่มีผิดไม่มีถูกนะครับ เรามาแลกเปลี่ยนกันแบบเพื่อนร่วมวิชาชีพดีกว่านะครับ

ผมยังเรียนไม่จบความรู้ยังน้อย แต่เคยทดลองกับตัวเองในการกินวิตตามินและผลิตภัณฑ์ เสริมอาหารนะครับ ผมที่ได้ก็ ไปไปตามที่เค้าโฆษณา อยู่นะครับ ในตอนแรกไม่เชื่อวาวิตามินและอาหารเสริมจะทำได้ แต่จะให้ผมอธิบายเป็นวิชาการต้องขอตัวนะครับ เดียวผิดจะแย่ แต่ในเรื่องเบสหวานและความดันผมก็เคยได้ยินมาแต่ก็ยังไม่เชื่อนะครับเพราะยังไม่เคยทดลองด้วยตัวเองและคนใกล้ชิด

แต่ผมว่า ในเมื่อเราห้าผู้ป่วยไม่ไ่ด้เราก็อย่าไปต่อต้าน เพราะผมเห็นหมอ และเภสัช หลายๆๆ ท่านไม่ยอมรับในวิตตามินและอาหารเสริมทำให้เหมือนยืนกันอยู่คนฝั่งกับผู็ป่วย เพราะว่าผู้ป่วยเค้าเชื่อจากการบอกเล่ามาแล้ว โดยสวนใหญ่ก็จะไม่ค่อยไว้ว่างใจในยาปัจจุบันเพราะมีข่าวเรื่องการแพ้ยา ผลข้างเคียงของยาในแต่ละโรคทำให้ผู็ป่วยเมื่อเห็นทางที่จะทำให้เค้าหายก็ต้องรีบคว้าไว้ อย่างที่มีพี่บอกว่า ผู้ป่วยจะเลิกทานยารักษาโรคเลยผมว่าทำให้เสียงต่อการกลับมาเป็นโรคเดิมและรุนแรงมากขึ้นเพราะเท่าที่ผมทราบ็ยังไม่มีการวิจัยแบบเต็มที่เกี่ยวกับโรค อะยาวละจบไม่ลด คือที่ผมจะบอกก็คือ ก็อย่าไปแสดงว่ายืนอยู๋ตรงข้ามผู็ป่วยแต่แรกครับในเรื่องนี้ อยู๋ข้างเดียวกันแต่ขอ ของเราเข้าไปด้วยอะคัฟ ตัวอย่างของผมอยู๋ไม่ไกล คุณปู่ผมเองครับ ใครบอกว่าอาหารเสริมตัวไหนดี ขอให้บอก ท่านจัดมาเดียวนั้นครับ ละก็อยู่ๆจะหยุดกินยาหมดซะอย่างนั้น ผมโชคดีที่กินวิตตามินให้ท่านเห็นเป็นประจำก็เลยบอกท่านว่าวิตตามินนะ มันก็ดี แต่เค้ายังไม่มีใครรู็นะว่ากินละจะดีได้นานแค่ไหน เกินกินละดีได้แป็บเดียวจะแย่เอานะ ให้ทานยา เข้าไกด้วย ท่านก็เชื่อนะคัฟ เพราะผมไมไ่ด้ห้ามท่านกินวิตตามินแต่แรก*-*

พี่ๆอ่านแล้้ว งงก็ไม่ต้องคิดมากนะคัฟผม เขียนตอนที่ไมไ่ด้นอนมา 30 ชม ละครับ

อาหารเสริมพวกนี้แพง ไม่น่าจะส่งเสริม
แต่ถ้าราคาประหยัด กินได้ในชีวิตประจำวันก็น่าสนใจ

คิดว่าน่าจะลองสอบถามดูว่าเป็นตัวไหน แล้วเอาไปศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อมาตอบคนไข้ค่ะ

อาหารเสริม ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าใช้เสริม ถ้าเป็นตัวที่ปลอดภัยก็น่าจะให้ใช้เสริมคู่กันได้ โดยควรจะรับประทานอาหารมื้อหลักตามปกติด้วย ควบคู่กับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่เหมาะสม ถ้าสามารถลดการใช้ยาได้จริง ก็ไม่น่ากีดกัน หรือรังเกียจอาหารเสริมนี่คะ

ผมว่าผมก็เรียนมาโอเคนะครับ อาหารเสริม ก็ช่วยเสริมให้สุขภาพดีขึ้นได้ แต่ที่บอกว่ากินแล้วรักษาโรคร้ายแรงที่เป็นสาเหตุการตายอันดับต้นๆ ของคนไทยอย่างเบาหวานกับความดันให้หายได้ ฮ่าๆๆ ผมว่ามัน placebo effect



มันไม่ได้เป็นกับทุกคนหรอกครับ ไอ่เคสแบบนี้น่ะ



จริงๆแล้วอาหารเสริมก็ไม่ใช่ยาวิเศษจากฟากฟ้าอะไรหรอก แต่ถามว่ากินได้ไหม - กินได้ครับ กินไปเหอะครับ มันมีประโยชน์อย่างที่เราเคยเรียนเคยท่องกันมาตั้งแต่ม.ปลายแหล่ะครับ ( A-ตา , ชา- B , E-หมัน , ฟัน-C ฯลฯ ) ไม่เกินขนาดก็ไม่ตายครับ กินมั่งไม่กินมั่งก็ได้ครับ เพราะมันเป็นอาหารเสริมไงล่ะครับ ขายโดยใครก็ได้ที่ไม่จำเป็นต้องเป็นเภสัชก็ได้ เด็กเรียน ม.2 มาเทรนสามสี่วันก็ขายได้ , คนแก่ตกงานก็ขายได้ , คนพิการขาขาดก็ขายได้ , สาวออฟฟิศอยากหารายได้เสริมก็ขายได้ แค่พูดเก่งๆ ,โน้มน้าวเก่งๆ ,ขยันท่องๆนกแก้วนกขุนทองหน่อย ,เทรน selling skill มาดีๆ ก็ขายได้แล้วครับ (อย่าลืมอ้างเรื่องแม่ของใครก็ได้สักคนที่ป่วยเป็นโรครักษาที่ไหนก็ไม่หาย แต่พอมากินอันนี้แล้วหาย !! ) ขายเสร็จสิ้นเดือนก็ไปเต้นๆกัน แล้วบอกขอบคุณเฮอร์บัลไลฟ์บนเวที ฮ่าๆๆๆ



ต่างจากยาครับ ยาต้องถูกสั่งจ่ายโดยผู้มีความรุ้และเรียนมาโดยตรง จ่ายโดยผ่านการวิเคราะห์แล้วว่าจำเป็นต้องใช้จริงๆเพื่อการรักษาโรคที่ให้ประสิทธิภาพสูงสุด และปลอดภัยต่อคนไข้จริงๆ จะกินเล่นกินหัวเหมือนอาหารเสริมไม่ได้ครับ และกว่าจะผ่านขั้นตอนจนมาเป็นยาที่ขายตามท้องตลาดได้ มันต้องผ่านการวิจัยอะไรมากมายหลายปีตามที่รู้มาตอนเรียนนะครับ




ผมว่า ถ้าเป็นเบาหวานหรือความดันหนักๆ ใช้ยารักษาดีกว่าครับ ชัวร์กว่าแน่นอน ในเคสแบบนี้ถ้ายาไม่ชัวร์กว่าอาหารเสริม ผมขอเผาใบประกอบทิ้งครับ เพราะถือว่าสอนอะไรผมมาก็ไม่รู้เนี่ย เบต้าวัน บล็อกเกอร์ ท่องกันหูตูบว่ารักษาความดันได้ดีอย่างงั้นดีอย่างงี้ พอถึงเวลาเรียนจบมา ประสิทธิภาพยังห่วยกว่าการกินอาหารเสริม ( ที่ซื้อมาจากสาวออฟฟิศที่ต้องการหารายได้เสริม )




แต่ก็อย่าถึงกับหยุดยาเพื่อกินอาหารเสริมอย่างเดียวเลยครับ ยกเว้นแบบไม่ไหวแล้ว คุณมีชีวิตอยู่ได้อีก 2 ชั่วโมง อย่างงี้กินอาหารเสริมอย่างเดียวไปเหอะครับ ถ้ามันวิเศษเกินจริงดั่งคำโฆษณา คุณก็รอดแหล่ะครับ


ปล. ถ้าแม่ป่วยเป็นเบาหวาน ต้องฉีดอินซุลิน ต้องกินยาสามสี่เม็ดต่อมื้อเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด คุณจะเอายาทั้งหมดไปซ่อนแล้วจัดแต่อาหารเสริมให้แม่กินอย่างเดียวไหมครับ

เภสัชกรหรือหมอยาน่าจะรวมตัวกันลุกขึ้นมาต่อสู้เรื่องนี้เพื่อผู้บริโภค เพื่อสุขภาพคนไทย