zartingtong เขียน:ผมไม่ได้เหยียดหยาม แต่แค่บอกว่า Pharm D จบมาด้วยระบบที่ลอกการศึกษามาจากฝรั่ง (1) เหมาะสมกับหน้าที่การงานสาย clinic (2) ไม่ได้ถือเป็นผุ้เชี่ยวชาญ แล้วยิ่งถ้าคุณจบไปเค้าไม่ได้ให้คุณทำงานเหมาะสมและไม่ได้มอบหน้าที่ให้คุณเหมือนกับของฝรั่ง นานไปก็เข้าหม้อเพราะไม่ได้ใช้ ถ้าอยากเป็นผู้เชี่ยวชาญคุณต้องไปต่อวุฒิบัติหรือด้านคลีนิกแล้วอย่าไปเชื่ออะไรๆที่เค้ายัดเยียดให้คุณคิดคุณหวังครับ (3) ด้วยเหตุผลประการเดียวคือ "ที่นี่ประเทศไทย" (4)
Just inconvinient truth
ขออภิปรายเป็นประเด็นๆ ไปครับ
1) ผมไม่มีข้อมูล และยังไม่เคยเห็น
หลักฐานเชิงประจักษ์ว่า ผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาที่มีความสามารถในการสร้างหลักสูตรนี่ กลับสร้างหลักสูตรใหม่โดยการ
ลอก จริงหรือ คำนี้มีนัยยะที่เป็นเชิงลบแอบแฝง ผมอยากให้ทุกคนที่มองหลักสูตรได้ศึกษาทำความเข้าใจมันอย่างถ่องแท้ และเปิดวิสัยทัศน์ให้กว้างขึ้นครับ เพราะหลักสูตรต่างๆ ไม่ได้ทำมาเฉพาะกาล แต่ทำมาใช้เป็นเวลาหลายปี และมีผลต่อทิศทางการพัฒนาวิชาชีพอย่างมาก โดยส่วนตัวผมไม่เชื่อว่า ผู้ที่มีคุณวุฒิที่สร้างหลักสูตรได้ จะมาทำงานโดยการ
ลอก ครับ
2) exercise ของหลักสูตรมีการพัฒนาหลายด้าน ทุกๆ ด้านสนับสนุนสายงานทางคลินิกให้โดดเด่น สำหรับด้านอื่นๆ เช่น Drug Information Service (critical appraisal included), Pharmacovigilance คงเป็นข้อมูลเบื้องต้นที่พอจะบอกได้ว่า หลักสูตร Pharm.D ไม่ได้จำกัดตีกรอบเฉพาะงานด้านคลินิกเท่านั้น
3) ผมคงต้องสารภาพด้วยความโง่ว่า ผมเองก็ไม่ทราบว่าถูกยัดเยียดอะไรมา ความคิดใดๆ ของคนคนหนึ่ง หรือกลุ่มชนกลุ่มหนึ่ง ย่อมถูกตีความได้ว่าเป็น วิสัยทัศน์ ทัศนคติ ความเชื่อ ความงมงาย ฯลฯ ทั้งนี้มันขึ้นอยู่กับว่าผู้ที่ตีความมีประสบการณ์และวิสัยค่อนในทางใด สิ่งที่ผมประทับใจต่อ หลักสูตรบริบาลทางเภสัชกรรม เพราะคำว่า "การบริบาลทางเภสัชกรรม" คือความรับผิดชอบของเภสัชกรต่อผู้ใช้ยาให้ได้รับประโยชน์สูงสุด เป็นสิ่งที่อยู่ในความคิดของผมตลอดเวลา ถ้าสิ่งนี้ถูกยัดเยียดเข้ามาก็ขอรับมาด้วยความเต็มใจ ผมมั่นใจว่ามนุษย์มีศักยภาพพอที่จะประเมินแนวคิดมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับตนเองได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเภสัชกรที่มีความรับผิดชอบสูงต่อสุขภาวะของประชาชน
สุดท้ายผมอ่านมาทุกกระทู้ที่คุณตอบ มีคำว่า "ถูกยัดเยียด" อยู่หลายแห่ง ผมสงสัยเหลือเกินว่าสิ่งที่คุณคิดว่ายัดเยียดนั้นคืออะไร แล้วสิ่งที่ยัดเยียดนั้นมันเป็นความจริงของคุณ ของใคร หรือของทุกคน ผมเชื่อว่ามีคำตอบที่ชัดเจนมากกว่าการบอกใบ้ให้ตีความ เพราะการตีความนั้นย่อมเกิดผลลัพธ์ที่แตกต่างกันได้ ยกตัวอย่างง่ายๆ ที่ศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา พิจารณาคดีเดียวกัน ใช้กฎหมายของประเทศไทยเล่มเดียวกัน พ.ศ.เดียวกัน ยังตัดสินแตกต่างอย่างสิ้นเชิงได้ นับประสาอะไรกับบัวที่ยังไม่พ้นน้ำอย่างผมจะเข้าใจอย่างผิดๆ
4) ผมเองก็เกิดในประเทศไทย โตในประเทศไทย เรียน และทำงานในประเทศไทย สิ่งที่ควรสงสัยคือ เราจะตั้งคำถามว่าเรามีศักยภาพพอที่จะช่วยพัฒนาประเทศไทยได้หรือไม่ หรือเราจะตั้งคำถามว่าศักยภาพที่เรามีจะช่วยพัฒนาประเทศไทยได้อย่างไร ทุกวันนี้ที่ผมทำงานอยู่เพื่อคุ้มครองประโยชน์ของประชาชนมักมีความรู้สึกเสมอว่า "ระบบยาของประเทศไทย ช่างห่วยแตกสิ้นดี" สิ่งที่ผมมีปฏิกิริยาต่อความรู้สึกนี้คือ "ทำอย่างไรให้ระบบที่ห่วยนี้พัฒนาไปเป็นระบบที่ดี" มากกว่าจะคิดว่า "ปลงเสียเถิด ที่นี่ประเทศไทย"