จดหมายเปิดผนึกต่อสาธารณชนกรณีการยื่นคัดค้านข้อบังคับฯ ๒๕๕๑ ของสภาเภสัชกรรมต่อศาลปกครอง
๒๖ กรกฎาคม ๒๕๕๑
เรียน เพื่อนร่วมวิชาชีพเภสัชกร และประชาชนไทยที่รักทุกท่าน
นับแต่ปลายปี ๒๕๕๐ เป็นต้นมา สาธารณชนเริ่มรับทราบว่า สภาเภสัชกรรม (โดยนายกคนปัจจุบัน คือ ดร.ภาวิช ทองโรจน์) ต้องการให้หลักสูตรเภสัชศาสตร์ในประเทศทั้งหมดเปลี่ยนเป็นแบบที่ต้องเรียน ๖ ปีเท่านั้น และนำมาสู่การออกเป็นข้อกฎหมาย ลงในพระราชกิจจานุเบกษา (๓ เม.ย. ๒๕๕๑) ซึ่งมีสาระสำคัญบังคับให้ทุกหลักสูตรเภสัชศาสตรบัณฑิตในประเทศไทยต้องเปลี่ยนเป็นแบบ ๖ ปี โดยทุกหลักสูตรต้องเริ่มรับนักศึกษาตั้งแต่ปีการศึกษา ๒๕๕๒ เพื่อให้ผู้เรียนมีสิทธิ์จบเพื่อสอบใบประกอบวิชาชีพได้ทันในปีการศึกษาปี ๒๕๕๗
การออกข้อบังคับฯนี้ จึงเป็นประเด็นสาธารณะที่ก่อให้เกิดข้อถกเถียง และวิพากษ์วิจารณ์ถึงผลกระทบต่างๆ ที่อาจตามมาเป็นอย่างมาก ดังปรากฏในการประชุม เสวนา สิ่งตีพิมพ์ และทาง website ต่างๆ มากมาย สมาชิกสภาฯ ทั้งรายบุคคล กลุ่มบุคคล และสถาบันหลายแห่ง (ปัจจุบันมีมหาวิทยาลัย ๑๒ จาก ๑๕ แห่งที่มีหลักสูตร ๕ ปี) ต่างได้ส่งหนังสือขอคำชี้แจง รายละเอียด และเหตุผลที่ชอบธรรมจากสภาฯในเรื่องนี้ แต่การตอบรับที่ได้ มักเป็นการนิ่งเฉยหรือหน่วงเหนี่ยวล่าช้าต่อการชี้แจง หรือให้คำอธิบายที่ไม่ชอบด้วยตรรกะเหตุผล ตัวอย่างเช่น เภสัชกรกลุ่มหนึ่งในขอนแก่นใช้สิทธิสมาชิกตาม พรบ.วิชาชีพเภสัชกรรมฯ สอบถามไปยังกรรมการสภาฯ โดยส่งหนังสือตั้งแต่เดือน ธ.ค. ๒๕๕๐ แต่ได้รับหนังสือตอบเมื่อมิ.ย. ๒๕๕๑ และตอบเพียงว่ามีความเห็นยืนตามมติเดิม โดยไม่มีการชี้แจงประเด็นที่สอบถามไปแต่อย่างใด นอกจากนี้การสำรวจความคิดเห็นในวงกว้างก็พบว่า เภสัชกรส่วนมากยังคงเห็นว่า หลักสูตรเภสัชศาสตร์ในประเทศไทยควรมีได้ทั้ง ๒ แบบ (๕ ปี และ ๖ ปี) เพื่อให้ตอบสนองต่อความต้องการของสังคมที่หลากหลาย การมุ่งบังคับให้เป็นแบบอเมริกันคือเรียน ๖ ปีเท่านั้น อาจมีผลดีเฉพาะการประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมในบางสาขา เช่น เภสัชกรรมคลินิก แต่อีกหลายสาขาอาจไม่มีความจำเป็น นอกจากนี้ระยะเวลาที่นานขึ้นยังเป็นการเพิ่มภาระค่าใช้จ่ายให้กับผู้เรียนและผู้ปกครอง เพิ่มการใช้ทรัพยากรของสังคม ก่อความสูญเสียทางเศรษฐกิจ และมีผลลดประสิทธิภาพของการผลิตบัณฑิตในสาขาที่ประเทศชาติของเรายังคงขาดแคลน
ผลของการวิเคราะห์ และติดตามกระบวนการออกข้อบังคับฯ ตราบจนขณะนี้ ทำให้เราไม่อาจนิ่งดูดายปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างไม่ถูกต้อง ไม่สอดคล้องกับความต้องการและบริบทของสังคมไทย อันอาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่สังคมอย่างมากโดยไม่จำเป็น ประกอบกับเราเห็นว่ายังมี ระบบศาลปกครอง ซึ่งเป็นกระบวนการทางสังคมที่ให้คนกลางมาช่วยทำให้เกิดกติกาที่ยุติธรรม โดยเฉพาะในกรณีที่มีความคิดเห็นขัดแย้งกันทางปกครองที่เกี่ยวกับการใช้อำนาจรัฐหรือการออกกฎหมายที่มีผลต่อสาธารณะโดยคณะตุลาการศาลปกครองจะเป็นผู้ทบทวน พิจารณาข้อมูลที่แต่ละฝ่ายมีหรือเชื่อถืออย่างรอบคอบ เพื่อเปรียบเทียบหรือหักล้างกันอย่างถี่ถ้วน เนื่องจากทุกครั้งที่มีความขัดแย้งอาจเกิดผลได้ทั้งทางสร้างสรรค์หรือทำลาย ขึ้นอยู่วิธีการบริหารและแก้ไขซึ่งความขัดแย้งนั้น กลุ่มของเราในฐานะสมาชิกของวิชาชีพ และพลเมืองของสังคมประชาธิปไตย จึงจำเป็นต้องขอพึ่งความเป็นธรรมจากศาลปกครอง เพื่อให้ได้ข้อยุติที่เกิดประโยชน์สูงสุดทั้งต่อประเทศชาติและวิชาชีพเภสัชกรรมในอนาคต
เมื่อเราร่วมมือกันเพื่อแก้ไขปัญหาอย่างสันติวิธี ปราศจากอคติ และประโยชน์ส่วนตัว เราย่อมสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ดีให้เกิดขึ้นได้ ดังนั้นหากท่านใดต้องการแลกเปลี่ยนข่าวสาร หรือมีส่วนร่วมสนับสนุนการยื่นฟ้องต่อศาลปกครองเพื่อขอให้ข้อบังคับฯนี้ไม่มีผลในทางปฏิบัติ หรือก็คือการขอโอกาสให้บัณฑิตที่เรียนจากหลักสูตรแบบ ๕ และ ๖ ปียังคงมีสิทธิ์เข้าสอบรับใบประกอบวิชาชีพเป็นเภสัชกรได้ต่อไป ขอได้โปรดแสดงเจตนารมณ์หรือความคิดเห็นของท่านมายังเราได้นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
ด้วยจิตคารวะ
กรรนิการ์ ฉัตรสันติประภา , วรรณี ชัยเฉลิมพงษ์ (wannee@hotmail.com), ฉันทนา อารมย์ดี,
จินดา หวังบุญสกุล, วัชรี คุณกิตติ, ศุภชัย ติยวรนันท์, สมชาย สุริยะไกร, และ วงศ์วิวัฒน์ ทัศนียกุล