apotheker เขียน:เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมามีพี่เภสัชคนนึงโทรมาปรึกษาผมว่า มีปัญหา โดนร้านยาใหญ่ซึ่งมีหลายสาขา มาเปิดสาขาใหม่ใกล้บ้าน แล้วขายตัดราคา
เรียกว่าแทบจะติดทุน ทุกตัว เป็นร้านที่ไม่มีเภส้ชกรอยู่(แขวนป้ายนั่นแหละ)
จากที่เค้าเคยขายได้วันละหมื่น ลดลงเหลือวันละ2000 แกไม่รู้จะทำยังไง ก็เลยบากหน้าไปที่ร้านนั้นแล้วบอกว่า
"อย่าขายยาถูกนักเลย ขอที่ให้ผมได้ยืนบ้าง"
คำตอบที่เค้าตอบกลับมาคือ
"มันไม่เกี่ยวกัน ผมกับคุณน่ะทำคนละอาชีพ"
"คุณก็จัดยาขายไปสิ เป็นเภสัชกรไม่ใช่เหรอ"
.............................
.............................
ปกติขายได้วันละหมื่น แสดงว่า ไม่ได้ขายปลีกอย่างเดียว ถ้าขายปลีกอย่างเดียวขายวันละหมื่น หยิบยาไม่ทันคะ เพราะคนมาซื้อจะมีทั้งซื้อคร้งละไม่กี่บาทจนคร้งละเป็นร้อย ถ้าซื้อครั้งละ 100 บาท คนเข้าร้านตั้งวันละ 100 คน จึงเป็นไปไม่ได้ที่ร้านนี้จะขายปลีกอย่างเดียว
ปกติร้านที่ขายปลีกยอดขายวันละ 5,000 ก็เต็มที่แล้วนะคะ
แต่ถ้าขายยาจัดตามอาการ(ที่ไม่ใช่การซื้อยาที่เข้ามาแล้วมองที่ตู้ชี้ตัวนั้นต้องการตัวนี้) กรณีนี้ต้องใช้เวลาซักอาการและจัดยา และไม่เกี่ยวข้องกับการขายตัดราคา ดังนั้นการขายตัดราคากันจึงไม่มีผลต่อการขายลักษณะนี้
ปกติร้านเภสัชกรจะมีจุดแข็งเรื่องการใช้ความรู้เพื่อการวิเคราะห์บำบัดอาการและการปรึกษาเรื่องโรคและการใช้ยา ใช้จุดแข็งตรงนี้ให้เป็นประโยชน์
การทำการเพียงซื้อยามาแล้วขายไปเหมือนขายสินค้าอื่นๆเป็นการทำที่เหนื่อยเปล่า ไม่ใช่เรื่องของเภสัชกร
เรื่องเภสัชกรเป็นเรื่องของการทำวิชาชีพ
ที่เป็นอยู่เภสัชกรเจ้าของร้านได้เปิดร้านโดยทำวิชาชีพหรือเปิดร้านโดยแค่ทำการค้าขายธรรมดาหรือไม่อย่างไร
หากเภสัชกรตั้งร้านโดยจุดมุ่งหมายด้วยการทำหน้าที่ทางวิชาชีพจะไม่หวั่นไหวต่อการขายแบบพ่อค้าวานิชแต่ประการใด
เพราะลักษณะการขายเป็นคนละแบบกัน
ถามว่าถ้าขายยาแบบวิชาชีพแล้วจะรวยหรือไม่ ไม่เป็นประเด็น
ถ้าคุณมุ่งหมายจะรวยเพื่อการขายยาคุณน่าไปทำอาชีพอื่นที่ไม่ใช่ความเจ็บป่วยของประชาชน
แต่ถ้าคุณทำเพื่อวิชาชีพเพื่อการรักษาหรือบรรเทาอาการหรือเพื่อความปลอดภัยของประชาชน คุณทำไปเถิด อยู่ได้แน่นอนคะ
เภสัชกรไม่ใช่พ่อค้ายาที่ต้องมาแข่งขันตัดราคายากันอย่างแน่นอนคะ