New Document









ชีวิตคนขายของ(ยา)ยามดีก เป็นเภสัชก็มีสิทธิ์โดน

ประกาศรับสมัครงาน โยกย้าย
กระทู้ที่เกี่ยวข้องกับการแขวนป้ายจะถูกลบโดนมิต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า

Re: เบื่อจุงเบย!!! อย.ส่อหมกเม็ดแก้ไขร่างพรบ.ยาใหม่

โพสต์โดย เมจิก พี » 02 พ.ย. 2014, 01:02

ภก.สมพงษ์ อภิรมย์รักษ์ ตัวแทนกลุ่มเภสัชกรภาคใต้ เปิดเผยว่า กลุ่มเภสัชกรภาคใต้ได้ติดตามความคืบหน้าการแก้ไขร่างพ.ร.บ.ยา พ.ศ....ซึ่งขณะนี้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) ได้หารือร่วมกับสภาเภสัชกรรมแห่งประเทศไทย ภาคประชาชน สภาวิชาชีพต่าง ๆ ผู้ประกอบการกลุ่มผู้ดูแลคุ้มครองสุขภาพระดับภูมิภาค จนได้ข้อสรุปว่า จะมีการแก้ไขในประเด็นใดบ้างแล้วนั้นโดยหลักการ คือ เป็นไปเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ซึ่งขั้นตอนต่อไป อย.จะต้องปรับปรุงตัวร่างพ.ร.บ.ยาฉบับใหม่ให้เป็นไปตามผลของการหารือเพื่อนำส่งเข้าไปยังสำนักเลขาธิการรัฐมนตรีเพื่อนำเสนอพิจารณาในที่ประชุม ครม.
แต่จากการติดตามความคืบหน้าเมื่อวันที่30ต.ค. ที่ผ่านมาพบว่า อย. ไม่ได้ทำการแก้ไขร่างพ.ร.บ.ฉบับใหม่ตามผลของการหารือร่วมแต่กลับสรุปผลการประชุมแนบไปกับร่างพ.ร.บ.ยา ฉบับที่เป็นปัญหาจนมีการคัดค้านที่ผ่านมาการแนบผลการประชุมไปเช่นนี้กลุ่มเภสัชกรใต้เห็นว่า การดำเนินการในลักษณะนี้จะทำให้เกิดความยุ่งยากและขาดน้ำหนักในการพิจารณาดังนั้นจึงได้ออกแถลงการณ์ในนามกลุ่มเภสัชกรภาคใต้ ฉบับที่ 3 เพื่อคัดค้านร่างพ.ร.บ.ยา ฉบับของกฤษฎีกาและขอให้ อย.และกระทรวงสาธารณสุขแก้ไขปรับปรุงร่างพ.ร.บ.ยาตามข้อสรปุของที่ประชุมก่อนส่งเข้าครม. และในสัปดาห์หน้าทางกลุ่มเภสัชกรใต้จะขอเข้าพบเพื่อสร้างความเข้าใจกับนพ.รัชตะรัชตะนาวิน รมว.สาธารณสุข ต่อไป.
เมจิก พี
 
โพสต์: 294
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 พ.ย. 2012, 15:51







Re: เบื่อจุงเบย!!! ข้อมูลใหม่ทึ่"ช็อคโลก!!!"

โพสต์โดย เมจิก พี » 05 มี.ค. 2015, 19:51

ข้อเท็จจริงของเรื่องโทษไขมันอิ่มตัวกับโรคต่าง ๆ ยาวหน่อยแต่ต้องอ่านครับ

วันนี้มีหมอผู้มีประสบการณ์ตรงออกมาเป็นพยานและแนวร่วมอีกท่านหนึ่ง (นอกเหนือจาก นายแพทย์ Stephen Sinatra , Julian Whitaker , Mark Hyman , Mehmet Oz ฯลฯ ที่ได้เป็นเถวหน้าออกมาช่วยกันเผยแพร่ความเป็นจริงที่สั่นสะเทือนวงการแพทย์กระแสหลัก ที่มีความเชื่อผิดมากว่า 60 ปี)

นายแพทย์ Dr. Dwight Lundell อดีตเป็นหัวหน้าทีมแพทย์ผ่าตัดที่ Banner Heart Hospital , Mesa , AZ.สหรัฐอเมริกา เป็นศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญการผ่าตัดหัวใจและหลอดเลือด มากว่า 25 ปี เคยผ่าตัดหัวใจมามากกว่า 5,000 ราย ผ่าตัดหลอดเลือดเลี่ยงหัวใจ (bypass) มาหลายหมื่นเส้น ประสบการณ์ขนาดนี้เราคงไม่ปฏิเสธว่าท่านมีประสบการณ์ตรงไม่ใช่นักวิจัย นักวิชาการในหอคอยงาช้างเป็นแน่


“แต่ในวันนี้ผม (Dr. Dwight Lundell) ขอแสดงความเสียใจเป็นอย่างยิ่ง และขออภัยอย่างที่สุดเพื่อออกมาสารภาพผิดกับท่านทั้งหลายว่า ความเชื่อของผมและเหล่าบรรดาแพทย์ร่วมทีมของผมเกี่ยวกับสาเหตุตลอดจนการจัดการการรักษาโรคหัวใจที่กระทำตลอดมานั้นไม่ถูกต้อง วันนี้ผมจำเป็นต้องออกมาแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาดให้ถูกต้องเสียที ผมต้องยอมรับว่ากระบวนการเรียนการสอน งานวิจัย สัมมนาวิชาการ วิทยานิพนธ์สารพัดที่ผมได้ใช้เป็นแนวทางการวินิจฉัยสาเหตุโรคหัวใจและหลอดเลือด และการรักษาที่ผ่าน ๆ มานั้นไม่ถูกต้อง”

“ ครับเป็นเวลากว่า 60 ปีที่วงการแพทย์ต่างหลงเชื่อว่าสาเหตุการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดนั้นเกิดจาก คลอเลสโตรอลและไขมันอิ่มตัว ดังนั้นหมอโรคหัวใจอย่างพวกผมจึงเพ่งเล็งการรักษาไปที่การทานยาลดคลอเลสโตรอลร่วมกับลดหรืองดการบริโภคไขมันอิ่มตัว แต่จากหลักฐานที่ปรากฏชัดมากขึ้นไมกี่ปีที่ผ่านมาได้พิสูจน์แล้วว่าความเชื่อข้างต้นไม่เป็นวิทยาศาสตร์ ไม่เป็นความจริง และไม่ควรเชื่ออีกต่อไป

“ ชัดเจนมากว่าการอักเสบภายในผนังหลอดเลือดต่างหากที่เป็นตัวการที่แท้จริงทำให้หลอดเลือดตีบตัน โรคหัวใจ โรคร้ายแรงเรื้อรังอีกสารพัด”

Dr. Dwight Lundell ได้เรียบเรียงไว้ให้เข้าใจ เพื่อจะได้เผยแพร่ต่อๆ กันไปได้ง่ายขึ้น

1. จากการที่วงการแพทย์มีความเชื่ออย่างผิดๆ ดังกล่าว มีผลให้วงการโภชนาการตลอดระยะ 60 ปีที่ผ่านมาเดินผิดทางไปหมด อุตสาหกรรมอาหารและโภชนาการที่เดินผิดทางได้สร้างประชากรโลกที่เต็มไปด้วยโรคอ้วน เบาหวาน และโรคเซลล์เสื่อมอีกสารพัดโรค สร้างความสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินเศรษฐกิจอย่างไม่สามารถประเมินได้ทีเดียว นับเป็นเรื่องน่าเศร้าของมนุษยชาติ

2. ทั้งๆ ที่มีประชากร (โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา) ประมาณ 25% ที่ทานยาลดไขมันกลุ่ม statin ราคาแพงๆ และมีสารพัดอาหาร Low fat , Fat free มีการลดการบริโภคไขมันอิ่มตัวกันอย่างมากมาย แต่ผลลัพธ์กลับเป็นว่า มีประชากรเสียชีวิตอันเนื่องจากโรคหัวใจภายในรอบเวลา 60 ปีนี้มากที่สุดในประวัติศาสตร์ ข้อมูลของสมาคมโรคหัวใจแห่งอเมริกา รายงานว่า มีผู้ป่วยโรคหัวใจกว่า 75 ล้านคน มีผู้ป่วยเบาหวานกว่า 20 ล้านคน มีผู้ป่วยใกล้จะเป็นเบาหวาน (pre-diabetes) กว่า 57 ล้านคน ในขณะที่มีแนวโน้มมากขึ้นเรื่อยๆ ว่า อายุเฉลี่ยของผู้ที่เริ่มป่วยด้วยโรคเหล่านี้ล้วนมีอายุน้อยลงๆ (เป็นโรคกันตั้งแต่เด็ก) มีคำถามตัวโตๆ ว่าทำไม??

3. คำตอบที่ง่ายๆ สั้นๆ ที่สุดก็คือ หากไม่มีการอักเสบในร่างกาย ก็ไม่มีทางที่คลอเลสโตรอลจะจับเป็นตะกรันอุดตันในหลอดเลือดได้ หากไม่มีการอักเสบคลอเลสโตรอลก็จะไหลลื่นไปตามหลอดเลือดได้อย่างเสรี การอักเสบนี่แหละที่ทำให้คลอเลสโตรอลต้องกลายพันธุ์เป็นตะกรันจับยึดติดภายในหลอดเลือด !!!

4. การอักเสบไม่ใช่เรื่องซับซ้อนอะไร มันคือขบวนการปกติของร่างกายเพื่อต่อสู้รับมือกับสิ่งแปลกปลอมที่รุกรานเข้ามาในร่างกาย เช่นเชื้อโรค ไวรัส พิษต่างๆ แต่เมื่อใดก็ตามขบวนการอักเสบควบคุมผู้รุกรานไม่ได้โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้รุกรานที่เกิดจากพิษ ร้ายในอาหารการกินที่เซลล์ของร่างกายไม่คุ้นเคย กำจัดไม่ได้ จนกลายเป็นการอักเสบเรื้อรัง (ซ้ำแล้วซ้ำเล่า) การอักเสบเรื้อรังนี่แหละคืออันตรายอย่างแท้จริง

5. พิษร้ายในอาหารการกินที่ก่อให้เกิดการอักเสบเรื้อรังมากที่สุดก็คือ ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน (polyunsaturated fats) ที่อยู่ในน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด น้ำมันดอกทานตะวัน ฯลฯ และน้ำตาลสูงๆ ในแป้งขัดขาวและอาหารคาร์โบไฮเดรตทั้งหลายนั่นเอง ต้องยอมรับว่าอุตสาหกรรมอาหารเครื่องดื่ม ขนม ได้นำน้ำมันพืชและน้ำตาลไปปรุง เจือปน เป็นส่วนประกอบกันอย่างมโหฬาร ตลอดเวลา 60 ปีที่ผ่านมา

6. ท่านอาจไม่เคยเห็นสภาพผนังหลอดเลือดที่อักเสบเหมือนที่ผมเห็นและทำการผ่าตัดมาหลายหมื่นเส้นตลอด 25 ปีที่ผ่านมา แต่ผมพอจะเทียบเคียงง่ายๆ โดยให้ท่านหาแปรงสีฟันขนแข็งๆ อันหนึ่งแล้วก็ถูไปมาบนผิวนุ่มๆ บริเวณท้องแขน ถูไปมาจนค่อยๆ แดง เลือดซิบๆ นั่นแหละสภาพผนังหลอดเลือดที่อักเสบก็คล้ายกันคือ ช้ำๆ เลือดซิบๆ นานๆ เข้า หากยังคงอักเสบต่อเนื่องเลือดก็จะมาคั่งมากขึ้นจนบวม จนเลือดอาจทะลักมาตามแผลที่แตก

7. ผนังหลอดเลือดที่อักเสบนั้นไม่ได้ถูกแปรงใดๆ ไปขัดถู แต่เนื่องจากร่างกายเรามีระบบควบคุมระดับน้ำตาลให้อยู่ภายในระดับที่คงที่ ไม่เกินโควต้า (ในเลือดของคนปกติไม่เป็นเบาหวานจะมีน้ำตาลลอยปนในกระแสเลือดไม่เกิน 6-7 กรัมแล้วแต่ขนาดตัวและปริมาณเลือดในร่างกาย) ทันทีที่เราทานอาหารที่อุดมด้วยน้ำตาลปริมาณที่มากเกินโควต้า ฮอร์โมนอินซูลินจะรีบทำการขนน้ำตาลที่ทะลักเข้าสู่กระแสเลือดไปเก็บไว้ในเซลล์ก่อนที่จะแปลงสภาพเก็บในรูปของไขมัน แต่หากน้ำตาลภายในเซลล์มีพอเพียงอยู่แล้ว อินซูลินก็ต้องหาทางรีบขับหรือกำจัดออกจากร่างกายต่อไป น้ำตาลที่เป็นส่วนเกินในกระแสเลือดจะเข้าไปจับตัวกับโปรตีนหลายๆ ชนิดในเลือด กลายสภาพเป็นตัวทำร้ายผนังหลอดเลือดให้อักเสบ การทานน้ำตาลมากวันละหลายๆ มื้อจึงเสมือนกับการเอาแปรงไปขัดถูผนังหลอดเลือดจนถลอกครั้งแล้วครั้งเล่า จนอักเสบเรื้อรังวันแล้ววันเล่า ผมอยากจะย้ำๆ กับท่านว่าผมซึ่งผ่าตัดหัวใจมากว่า 5,000 คน ผ่าตัดเส้นเลือดมาหลายหมื่นเส้น ภาพการอักเสบเรื้อรังในหลอดเลือดมันติดตาผมว่าไม่ได้แตกต่างจากภาพที่ท่านเห็นหลังจากเอาแปรงขนแข็งขัดถูผิวหนังนุ่มบอบบางจนช้ำ จนเลือดไหลซิบๆ จนบวมปูด เลือดไหลแต่อย่างใด ต่างกันเพียงว่าน้ำตาลที่ทานเข้าไปวันละหลายๆ มื้อ หลายๆปีนี่แหละเสมือนกับแปรงที่ค่อยๆ ขัดถูผนังหลอดเลือดจนถลอกปอกเปิก อักเสบเรื้อรัง

8. นอกจากน้ำตาลแล้วกลับมาพูดถึงน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีเช่นน้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด น้ำมันดอกทานตะวัน ฯลฯ โดยธรรมชาติผนังหุ้มเซลล์ต่างๆ ของร่างกายนั้นมีส่วนประกอบหลักทำด้วยไขมันหลากหลายชนิดผสมผสานกันเพื่อให้คงความนุ่ม ยืดหยุ่น แต่คงรูป เกลือแร่สารอาหารซึมผ่านเข้าไปในเซลล์ได้เหมาะสม ขยะของเสียซึมผ่านออกจากเซลล์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีสัดส่วนระหว่างไขมันโอเมก้า-6 และไขมันโอเมก้า-3 ที่ดีคือ ไม่เกิน 3:1 แต่ผลจาการที่วงการแพทย์หลงผิดและเผยแพร่ความเชื่อว่าสาเหตุการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดนั้นเกิดจาก คลอเลสโตรอลและไขมันอิ่มตัว จนทำให้อุตสาหกรรมอาหารเกาะกระแสโปรโมทน้ำมันพืชว่าเป็นไขมันไม่อิ่มตัว อุดมด้วยไขมันโอเมก้า-6 บางชนิดก็โหมกระแสว่ามีไขมันโอเมก้า-3 อีกต่างหาก เลยกลายเป็นว่าทุกครัวเรือนต่างเลิกทานน้ำมันปรุงอาหารแต่ดั้งเดิมกลับมาฝากสุขภาพกับไขมันไม่อิ่มตัวทั้งหลายโดยเฉพาะน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี ทั้งยังแทรกซึมลงไปในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มทุกแขนง เราจึงมักพบขนมขบเคี้ยวทั้งหลาย ฟาสต์ฟู๊ดทั้งหลายล้วนกระหน่ำการใช้น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีเป็นส่วนผสมและปรุง เช่นมันฝรั่งทอด กรอบที่ผ่านการทอดและชุ่มด้วยน้ำมันพืช (โดยไม่มีใครเฉียวใจเลยว่าน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีเหล่านี้เปิดฝาขวดทิ้งไว้เป็นปีก็ยังไม่เหม็นหืน ? ทั้งๆ ที่โดยหลักการแล้วไขมันไม่อิ่มตัวทั้งโอเมก้า-6 และโอเมก้า-3 นั้นจะถูกออกซิไดส์โดยออกซิเจนในอากาศได้อย่างง่ายดาย แต่ไม่เคยมีใครเฉลียวใจกับคำศัพท์ที่ว่า” "ผ่านกรรมวิธี” เลยว่าผ่านอะไรมาทำไมจึงไม่เหม็นหืน ????

9. ผลจากการที่วงการแพทย์เดินผิดทาง ภาวะโภชนาการของประชากรโลกก็เลยเดินเป๋จนพิกลพิการ ในอเมริกาพบว่าอาหารการกินของประชากรขาดความสมดุลอย่างรุนแรง สัดส่วนระหว่างไขมันโอเมก้า-6 และไขมันโอเมก้า-3 กลายเป็น 15:1 จนถึงระดับวิกฤติ คือ 30:1 ผลก็คือผนังหุ้มเซลล์เสียหายอย่างรุนแรงและปลดปล่อยสารเคมีที่เรียกว่า cytokines ออกมาทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรังและรุนแรง

10. ปัญหายิ่งหนักสาหัสขึ้น เมื่อมีภาวะน้ำหนักเกิน อ้วน ทานไขมันเหล่านี้ปริมาณมากเกินไป ทานน้ำตาลมาก ก็ยิ่งทำให้ปริมาณ cytokines และสารเร่งการอักเสบนานาชนิด หลั่งออกมามากเป็นทวีคูณ ตกเข้าสู่วัฏจักรเลวร้ายเต็มขั้นจน กลายไปเป็นโรคเบาหวาน ความดันสูง โรคหัวใจ หลอดเลือดตีบตัน เส้นเลือดเลี้ยงสมองตีบตัน อัมพฤกษ์ อัลไซเมอร์ ฯลฯ ผมขอย้ำว่าร่างกายมนุษย์ไม่ได้ถูกสร้างมาให้ทนทานต่อปริมาณน้ำตาลท่วมเลือด หรือ ไขมันโอเมก้า-6 ปริมาณสูงๆ จากน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้นมา ท่านทราบไหมว่าน้ำมันข้าวโพด 1 ช้อนโต๊ะมีไขมันโอเมก้า-6 สูงถึง 7,280 mg น้ำมันถั่วเหลือง 1 ช้อนโต๊ะมีไขมันโอเมก้า-6 สูงถึง 6,940 mg ตรงกันข้ามกับไขมันในเนื้อสัตว์ธรรมชาติซึ่งมีไขมันโอเมก้า-6 ไม่เกิน 20%

11. ยังคงเหลือทางรอดสำหรับประชากรโลกก็คือกลับไปสู่เมนูอาหารที่ปรุงสด ผ่านกรรมวิธีผ่านการแปรรูป ให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ตัดน้ำตาลและความหวานทั้งหลาย ตัดน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี (ผ่านกรรมวิธีอะไรเป็นปีๆ จึงไม่เหม็นหืน?) ออกไปเสียจากวงจรอาหารในชีวิตประจำวัน
นอกจากนี้อุบายขายโรค กระชากหน้ากากอุตสาหกรรมอาหาร ยาข้ามชาติ จะได้เห็นเล่ห์อุบายของธุรกิจเหล่านี้ ทำให้คนปกติที่ไม่ป่วย ต้องกลายเป็นคนป่วยมากินยา อาหารเสริม กำไรเป็นกอบเป็นกำ ฝรั่งมันหลอกว่าแค่ค่าตัวเลขไขมันในเลือดเกิน200ก็เป็นโรค ก่อนหน้านี้ตั้งค่าที่250 ตอนนี้มันก็กำลังคิดว่าจะลดค่าตัวเลขลงอีก ทำให้มีการขายยาได้มากขึ้น รวยยิ่งขึ้น แต่คนไทยยังไม่ค่อยรู้เท่าทัน ถึงเวลาแล้วที่จะต้องร่วมมือกันไม่ให้ธุรกิจแบบนี้ขูดรีด ประชาชนอีก

ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก ชมรมแพทย์ชนบท update 5-3-58
เมจิก พี
 
โพสต์: 294
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 พ.ย. 2012, 15:51

Re: เบื่อจุงเบย!!! ตะลึง...ข้อมูลใหม่ "ช็อคโลก!!!"

โพสต์โดย เป็นหนึ่ง » 06 มี.ค. 2015, 11:18

หมอสันต์ว่า

     ถ้าท่านผู้อ่านเข้าใจแล้วว่า “ไขมันโอเมก้า 6 ที่ผ่านกระบวนการผลิตเพื่อให้เก็บบนหิ้งได้นาน” ที่เขาพูดถึงนั้นแปลว่าไขมันทรานส์ ผมก็ไม่มีอะไรจะเถียง ผมเห็นด้วยว่าอาหารคาร์โบไฮเดรตที่มากเกินไป และไขมันทรานส์ เป็นต้นเหตุสำคัญของโรคหลอดเลือด ซึ่งเราควรทำทุกอย่างที่จะลดอาหารทั้งสองชนิดนี้ลง

     บทความส่วนที่เหลือของดร.ลันเดลไม่มีสาระอะไรมากไปกว่านี้ ผมจึงไม่ได้แปลมาให้อ่าน

     เนื่องจากผมข้องใจเจตนาของหมอลันเดลคนนี้เอามากๆ จึงเสาะหาข้อมูลเรื่องเบื้องหลังจากหมอพวกเดียวกันในอเมริกา ก็จึงได้ทราบว่า ลันเดลเป็นหมอผ่าตัดหัวใจจริงๆ เคยหากินอยู่ที่อริโซนา มีชื่ออยู่ในทำเนียบหมอผ่าตัดหัวใจของสมาคมศัลยแพทย์หัวใจและทรวงอก (CTS) แต่ว่าช่วงระหว่างปี 2000 – 2008 นั้นเขาถูกแพทยสภาอริโซนา (Arizona Medical Board) เอาเรื่องว่าเขาดูแลคนไข้ต่ำกว่ามาตรฐานอยู่ 5 คดี เคสแรกในปี 2000 บอร์ดวินิจฉัยว่าเขาผ่าตัดหลอดเลือดที่คอคนไข้แล้วคนไข้ตายโดยเป็นการผ่าตัดที่ไม่ได้มาตรฐานวิชาชีพ เขาถูกลงโทษปรับไหม 2500 เหรียญ ถูกทำฑัณฑ์บน และถูกบังคับให้เข้าโปรแกรมศึกษาเพิ่มเติมเรื่องการผ่าตัดหลอดเลือดที่คอ และเรื่องวิธีการบันทึกการรักษาผู้ป่วยที่ถูกต้อง ครั้งที่สองในปี 2003 ก็โดนอีก คราวนี้การทบทวนชาร์ตผู้ป่วยที่เขารักษา 20 ชาร์ตพบว่า 13 ชาร์ตแสดงถึงการรักษาที่ทำไปโดยไม่ได้ตรวจประเมินคนไข้ให้ดีก่อนการผ่าตัด เขาถูกลงโทษและทำฑัณฑ์บนอีก และถูกบังคับให้ส่งชาร์ตมาให้บอร์ดตรวจสอบทุกสามเดือน พอมาในปี 2004 บอร์ดก็ตรวจพบอีกว่ามีความผิดพลาดในการรักษาคนไข้ของเขาสองคน จึงมีมติขยายฑัณฑ์บนไปอีกสองปี และบังคับให้เขาเข้ารับการตรวจร่างกายและสภาพจิตเพื่อให้แน่ใจว่าเขายังสุขภาพดีพอที่จะประกอบอาชีพได้  ปี 2006 บอร์ดก็ออกหนังสือเตือนเรื่องเขียนบันทึกการรักษาคนไข้ไม่ได้เรื่องอีก และฟางเส้นสุดท้ายก็คืออยู่ๆโรงพยาบาล Banner Desert Medical Hospital ซึ่งเป็นนายจ้างของลันเดลก็สั่งเลิกจ้างเขาดื้อๆ บอร์ดจึงเข้าไปตรวจสอบและพบความจริงว่าเขาดูแลคนไข้ผิดพลาดจนเสียหายร้ายแรงหลายรายติดๆกัน ทำให้บอร์ดตัดสินใจสั่งเลิกใบประกอบโรคศิลป์ของเขาอย่างสิ้นเชิง หมายความว่าห้ามเขาหากินเป็นหมอรักษาคนไข้อีกต่อไป
ทางด้านการเงินนั้น ในปี 1990 ลันเดลถูกฟ้องล้มละลายรอบแลก แล้วมาถูกฟ้องล้มละลายรอบสองในปี 2005 ในคำฟ้องระบุว่าเขามีสินทรัพย์เหลืออยู่ 12,990 เหรียญขณะที่มีหนี้สินอยู่ 20 กว่าล้านเหรียญซึ่งส่วนใหญ่เป็นหนี้บัตรเครดิต เขาไปจ้างนักหลบภาษีชื่อเบนท์สันให้ทำงานให้ แล้วแจ้งสรรพากรว่าเขาไม่มีรายได้เลย  (0 เหรียญ) ในปี 2004 และ 2005 แต่ในที่สุดเขาก็โดนสรรพากร (IRA) ลงโทษทำฑัณฑ์บนส่วนอีตาเบนท์สันถูกตัดสินจำคุกสี่ปีและปรับ 1.1 ล้านเหรียญ
เขาอ้างว่าได้ตั้งมูลนิธิ Healthy Humans Foundation ขึ้นมาช่วยคนไข้ต่อสู้กับโรคเรื้อรัง แต่มูลนิธินี้จริงๆแล้วไม่รู้มีตัวตนอยู่ที่ไหน เพราะในทะเบียนมูลนิธิของอริโซนาไม่มีชื่อมูลนิธินี้  
ช่วงปี 2007 – 2010 ลันเดลรับค่าจ้างเป็นที่ปรึกษาจากบริษัท NourishLife ซึ่งขายวิตามิน น้ำมันปลา (โอเมก้า 3) และอาหารเสริมต่างๆเช่นกรดไลโนลิก ซึ่งเขาพยายามโปรโมตในหนังสือของเขา พอหนังสือพิมพ์ชิคาโก้ทรีบูนเปิดโปงว่าบริษัท NourishLife หลอกขายอาหารเสริมที่อ้างว่ารักษาเด็กติดอ่างได้และจ้างหมอที่ถูกยึดใบประกอบโรคศิลป์แล้วเป็นที่ปรึกษา ชื่อของลันเดลจึงถูกลบออกจากการเป็นที่ปรึกษาของบริษัทตั้งแต่นั้น

     วิธีขายหนังสือ The Great Cholesterol Lie ของลันเดลคือถ้าซื้อผ่านเว็บไซท์ The Truth About Heart Disease Web site จะได้ลดเหลือ 49.9 เหรียญ ซึ่งเว็บนี้ขายสมาชิกด้วย โดยผู้เข้าเว็บสามารถซื้อสมาชิกระดับต่างๆ ระดับสูงสุดจะได้ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับลันเดลหนึ่งชั่วโมง

     ผมเชื่อว่าหมอลันเดลนี้จะดังไปอีกพักใหญ่ อาจจะอีกหลายปี เพราะผู้คนเขาชอบใครก็ตามที่ด่าวิชาแพทย์แผนปัจจุบัน เพราะการแพทย์แผนปัจจุบันไปมีอิทธิพลกับชีวิตผู้คนมากเกินไป ไปคิดไปทำแทนเขาจนผู้คนเขาเสียความเป็นตัวของเขาเอง ดังนั้นผมทำนายล่วงหน้าไว้ได้เลย ถ้าหมอลันเดลคนนี้เลิกดังไปแล้ว ต่อไปก็ต้องมีคนใหม่มาตะโกนด่าหลักวิชาแพทย์แผนปัจจุบันอีก แล้วก็จะดังอีก จะเป็นเช่นนี้เรื่อยไป ซึ่งก็ไม่เป็นไร ไม่มีใครว่าใคร ผมก็ไม่ว่าอะไรใครเพราะเป็นผู้มีส่วนได้เสียโดยตรง จึง อยู่ในสภาพน้ำท่วมปาก
เป็นหนึ่ง
 
โพสต์: 113
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 มี.ค. 2011, 21:50

Re: เบื่อจุงเบย!!! ตะลึง...ข้อมูลใหม่ "ช็อคโลก!!!"

โพสต์โดย เป็นหนึ่ง » 06 มี.ค. 2015, 11:20

เป็นหนึ่ง
 
โพสต์: 113
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 มี.ค. 2011, 21:50

Re: เบื่อจุงเบย!!! ตะลึง...ข้อมูลใหม่ "ช็อคโลก!!!"

โพสต์โดย เมจิก พี » 06 มี.ค. 2015, 12:49

นำเสนอข้อมูลหลายๆด้าน นายแพทย์ Dr. Dwight Lundell ก็เป็นเพียงผู้หนึ่งที่มีความเห็นพ้องกับนายแพทย์อีกหลายๆท่าน ( นายแพทย์ Stephen Sinatra , Julian Whitaker , Mark Hyman , Mehmet Oz ฯลฯ )

เหตุผลที่อธิบายประกอบข้อมูล จะช่วยให้เราตัดสินใจง่ายขึ้นว่าจะเชื่อข้อมูลไหน
ต่อไปนี้เป็น ข้อมูลของโคเลสเตอรอลอีกข้อมูลหนึ่ง น่าสนใจมากครับ

คอเรสเตอรอลสูงเกิน 200 ไม่จำเป็นต้องกินยา


คอเรสเตอรอลสูงเกิน 200 ไม่จำเป็นต้องกินยา เพราะเราถูกบริษัทยาหลอกลวงมานานแล้วจริงไหม ลองอ่านและใช้วิจารณญานทบทวนดู
ข้อมูลจากสถาบันต่างๆ ที่น่าเชื่อถือประกาศมาตั้งแต่ พ.ศ. 2534 ว่า ถึงแม้โรคหัวใจเป็นสาเหตุการตาย และ ความพิการสำหรับผู้สูงอายุแต่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างระดับ Cholesterol กับความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ ไม่มีความเกี่ยวข้องกัน ทำไมเราไม่เคยได้ยิน? ทำไมข้อมูลเหล่านี้จึงไม่ได้รับการเผยแพร่?? พฤติกรรมของบริษัทยา บริษัท ...... ซึ่งเป็นบริษัทผลิตยาขนาดเล็ก ใช้เงินในการส่งเสริมการขายยากลุ่ม Statin ในปีแรกสูงถึง 1 พันล้านเหรียญ ยังไม่รวมอีก 6 บริษัทที่ใหญ่กว่ามากได้ส่งเสริมการขายไปก่อนแล้วแต่ไม่เปิดเผยถึงงบประมาณนี้ บริษัทยาจะเซ็นสัญญากับนักวิจัยว่าห้ามเปิดเผยข้อมูล โดยจะเลือกเปิดเผยเฉพาะข้อมูลที่มีผลประโยชน์กับบริษัทเท่านั้น และจ่ายเงินให้นักหนังสือพิมพ์เพื่อไปเขียนเชียร์ผลิตภัณฑ์ จัดประชุมสัมมนาทางวิชาการระดับนานาชาติ แล้วให้ข้อมูลการวิจัยซึ่งมีสถาบันที่ดูน่าเชื่อถือรับรองผล ให้กับหมอโดยตรง ครอบงำ FDA เมื่อ FDA จะยอมรับยาอะไรก็ต้องผ่านการทดสอบในวิธีการที่ต้องใช้ทุนสูงมาก ตามแนวทางที่บริษัทยาตั้งไว้ แล้วประกาศเป็นกฎหมายบังคับใช้ ด้วยกระบวนการและวิธีต่างๆ ที่ได้กล่าวมาและพยายามผลักดันให้
ข้อมูลผลการวิจัยของบริษัทยาแทรกซึมเข้าไปในหลักสูตรการแพทย์
...ต่อจากนี้เป็นข้อมูลจากหนังสือ The Great Cholesterol Con (อ้างอิงในเครดิตท้ายบทความ)
การหลอกลวงครั้งยิ่งใหญ่ของคอเลสเตอรอล

ข่าวดีสำหรับผู้ที่มี Cholesterol สูง
Dr. Malcolm Kendrick แพทย์ผู้มีชื่อเสียงของอังกฤษ ได้ค้นคว้า “ความจริง” ของเรื่องคอเลสเตอรอล (Cholesterol) ซึ่งเป็นที่หวาดกลัวของคนทั่วโลกในยุคนี้ และได้เขียนหนังสือ “The Great Cholesterol Con” อาจแปลเป็นไทยว่าการหลอกลวงครั้งยิ่งใหญ่ เรื่อง Cholesterol ซึ่งเป็นหนังสือที่ขายดีอย่างเทน้ำเทท่าในอังกฤษ มูลนิธิจึงได้เรียบเรียง สรุป และนำเสนอเรื่องที่ทุกคนควรอ่าน เพื่อเป็นข้อมูลในการตัดสินใจ เลือกแนวทางดูแลสุขภาพของท่าน ด้วยความปรารถนาดีอย่างจริงใจ มิได้มุ่งหวังจะโจมตีหรือขัดผลประโยชน์ใคร

สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทุกชนิดร่างกายจะสร้าง Cholesterol ขึ้นมาในตัวของมันเองอยู่ตลอดเวลา หากว่า Cholesterol เป็นสิ่งไม่ดีแล้วธรรมชาติจะสร้างขึ้นมาทำไม? เราควรคิดกลับไปหาธรรมชาติ ซึ่งควรเป็นคำตอบที่ถูกต้องความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ Cholesterol เกิดขึ้นมานานแล้ว เพราะมีผู้ต้องการสร้างภาพ Cholesterol ให้เป็นผู้ร้ายโดยใช้เงินมหาศาลพร้อมกับส่งเสริมให้กินน้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด น้ำมันดอกทานตะวัน ฯลฯ ซึ่งเป็นไขมันไม่อิ่มตัวโดยมีบริษัทยาเริ่มให้ข่าวที่เหมือนเป็นการให้ความรู้มาก่อนว่า Cholesterol เป็นสิ่งที่น่ากลัว ถ้า Total Cholesterol สูงเกิน 200 mg/dl (เดิม300และ250) ก็ควรกินยาลดไขมันในเลือด ซึ่งวงการแพทย์ส่วนใหญ่ก็เห็นดีเห็นงามจากข้อมูล (Medical Journal) ที่บริษัทยาอยู่เบื้องหลังการทำวิจัยแบบลำเอียง เลือกกลุ่มข้อมูลบางส่วนที่จะเข้าทางบริษัทยาเท่านั้น แล้วทำการเผยแพร่ให้แพทย์และสาธารณะชนให้หลงหวาดกลัวโรคหัวใจ จึงยอมกินยาลดไขมันที่แพทย์แนะนำให้กิน

ต่อไปนี้เป็นข้อมูลจากอังกฤษ ซึ่งไม่ถูกครอบงำโดยบริษัทยา เหมือน FDA (Food & Drug Administration) ในอเมริกา ปกหน้าของหนังสือเล่มนี้เขียนไว้ว่า “This book will change the way you think about heart disease forever” เพราะเราถูกล้างสมองให้เชื่อว่าโรคหัวใจเกิดจาก Cholesterol สูง ตอนหลังมีแพทย์หลายคนคัดค้านว่าไม่เป็นความจริง เพราะ Cholesterol จะสูงหรือต่ำก็เป็นโรคหัวใจตายเท่ากัน

ญี่ปุ่นเป็นอีกประเทศที่ประชากรอายุยืนที่สุดและไม่โดนครอบงำโดยข้อมูลจากฝรั่งอเมริกัน บอกไว้ว่า
Total Calories ในปี 1958 ค่อนข้างสูง ถึง 2,837 แต่ในปี 1999 กลับลดลงมาเหลือแค่ 2,202 ลดลงจากอะไร ลองดูที่ Carbohydrate intake เดิม 84% ลดการบริโภคมาเหลือ 62% และเพิ่มโปรตีนจากเดิม 11% เป็น 18% แต่ดูอันสุดท้าย Fat intakeการบริโภคไขมัน) เพิ่มจาก 5% เป็น 20% กินน้ำมันเพิ่มขึ้นถึง 400% ทำให้ Total Cholesterol ของคนญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น 20% แต่ผลปรากฏออกมาว่าอัตราการตายคนญี่ปุ่นลดลงถึง 6 เท่า โดยการลด Carbohydrate เพิ่ม Protein และ ไขมัน(ดี)

ลองมาดูอัตราการตายด้วยโรคหัวใจเทียบกับระดับ Cholesterol ของประเทศอื่นๆกันบ้าง
ข้อมูลจากกราฟ Average Cholesterol Levels บอกไว้ว่า Cholesterol ของชาว Aboriginals (คนพื้นเมืองในออสเตรเลีย) ต่ำที่สุด แต่กลับมีอัตราการตายสูงที่สุด ในทางกลับกัน ระดับ Cholesterol ของ Switzerland สูงที่สุด แต่อัตราการตายกลับต่ำสุด

เมื่อเริ่มตระหนักว่าผลการวิจัยที่ว่า Cholesterol สูงทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจนั้น ไม่เป็นความจริง ตามที่บริษัทยาขู่เอาไว้ บริษัทยาเหล่านั้นจึงเบี่ยงเบนความสนใจว่าดู Total Cholesterol ไม่พอ ต้องดูละเอียดลงไปถึง LDL และ HDL โดยสร้างผู้ร้ายตัวใหม่ให้ LDL มีวิจัยตัวใหม่ชี้ว่า LDL เป็น Bad Cholesterol และ HDL เป็น Good Cholesterol แต่เชื่อหรือไม่ว่าแท้ที่จริง ทั้ง LDL และ HDL ไม่ใช่ Cholesterol ทั้งคู่!! หลอกกันได้ทั่วโลก!
LDL ย่อมาจาก Low-Density Lipoproteins
HDL ย่อมาจาก Hi-Density Lipoproteins
“คุณแน่มากที่สามารถทำให้ทั้งแพทย์และประชาชนเชื่อว่า LDL และ HDL เป็น Cholesterol”

Lipoproteins คือ รูปแบบหนึ่งของไขมันผสมกับโปรตีน ที่สามารถละลายน้ำได้ และสามารถเคลื่อนตัวไปในกระแสเลือดได้ ส่วน Cholesterol คือ สารชีวเคมีอีกรูปแบบหนึ่งซึ่งไม่สามารถละลายในน้ำได้ มันจึงต้องเข้าไปแทรกตัวอยู่ข้างใน Lipoprotein เพื่อที่จะใช้เป็นพาหนะนำพา Cholesterol เข้าไปในกระแสเลือดและไปซ่อมแซมส่วนต่างๆ ของร่างกายได้ ซึ่ง Cholesterol เป็นสิ่งที่ร่างกายเราสร้างขึ้นมาเองประมาณ 90% และมีความจำเป็นต้องใช้อย่างมาก ร่างกายจะทรุดโทรมอย่างรวดเร็วถ้า Cholesterol ต่ำกว่า 200 ดังนั้นความเชื่อที่บอกว่า Cholesterol สูงแล้วมีโอกาสตายด้วยโรคหัวใจ ไม่เป็นความจริง ตรงกันข้าม ถ้าคุณกินยาลดไขมันเพื่อให้ Cholesterol ต่ำกว่า 200 อาจทำให้คุณเป็นโรคหัวใจวายตายเฉียบพลันได้สูงกว่า 3 – 4 เท่าของคนที่ไขมันสูงกว่า 200 แต่ไม่ได้กินยา

ความจริงเกี่ยวกับ Cholesterol
Cholesterol (คอเลสเตอรอล) หรือที่บริษัทยาครอบงำให้เรียกกันทั่วไปว่า “ไขมันในเลือด” ถูกแบ่งประเภทเป็น Cholesterol ตัวดี (HDL) และ Cholesterol ตัวเลว (LDL) แต่รู้หรือไม่ว่า Cholesterol นั้น “ไม่ใช่ไขมัน” เพียงแต่เป็นสารที่คล้ายไขมัน คือมีคุณสมบัติไม่ละลายในน้ำ โครงสร้างทางโมเลกุลของสารที่เป็นไขมันหรือกรดไขมัน จะมีส่วนประกอบทางชีวเคมี (Biochemistry) คือ คาร์บอน ออกซิเจน และไฮโดรเจน ลองไปเช็คหนังสือชีวเคมีดูท่านจะรู้ว่า Cholesterol มีโครงสร้างโมเลกุล ที่ไม่ใช่ไขมันแน่นอน แล้วใครล่ะที่เสี้ยมสอนให้วงการแพทย์เรียก Cholesterol ว่าไขมันในเลือด และเรียก HDL ว่า Cholesterol ตัวดี และ LDL ว่า Cholesterol ตัวเลว เพราะทั้ง HDL และ LDL ก็
ไม่ใช่ Cholesterol เด็ดขาด

HDL มาจากคำว่า High Density Lipoprotein และ LDL มาจากคำว่า Low Density Lipoprotein, Lipoprotein เป็นสารประกอบระหว่างไขมัน (เช่น Triglyceride) และ Protein ซึ่งละลายในน้ำเลือดได้ แต่ Cholesterol ไม่สามารถละลายในน้ำเลือดได้ จึงจำเป็นต้องแทรกตัวใน Lipoprotein เข้าไปด้วยจึงไปกับกระแสเลือดได้ทำไมร่างกายถึงสร้าง Cholesterol ขึ้นมา ตับสร้าง Cholesterol ขึ้นมาประมาณ 90% มันมีความจำเป็นอย่างยิ่งยวดสำหรับร่างกายเรา เพราะอวัยวะทุกส่วน ถูกสร้างขึ้นมาจาก Cholesterol ทั้งยังทำหน้าที่ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ และเป็นส่วนประกอบของฮอร์โมนต่างๆ อันตรายอย่างยิ่งหากระดับ Cholesterol ในเลือดต่ำกว่า 200 เพราะจะทำให้ร่างกายซ่อมแซมตัวเองไม่ทัน ฉะนั้นไม่มีเหตุผลที่จะต้องกินยาลดระดับ Cholesterol ในเลือด เพียงการหลงเชื่อว่า Cholesterol เป็นผู้ร้าย โดยไม่เข้าใจว่า เรากำลังเป็นเหยื่อของบริษัทยา

ที่มาของยาลด Cholesterol ชื่อ Statin
มาจากชื่อเต็มว่า Lovastatin เป็นยาเบื่อซึ่งใช้เบื่อสัตว์ แต่ภายหลังถูกค้นพบว่าเมื่อใช้ปริมาณน้อยๆ มีผลช่วยลด Total Cholesterol ได้ แต่คุณกำลังเริ่มสะสมสารพิษในร่างกายไปทีละนิดๆ

Lipoprotein คืออะไร
Lipoprotein หมายถึง Lipid (ไขมัน) ที่จับอยู่กับโปรตีนด้วยแรงดึงดูดทางกายภาพที่ไม่ใช่พันธะโควาเลนต์ ในน้ำเลือดหรือพลาสมา (Blood Plasma) จะมี Lipoprotein หลายชนิดทำหน้าที่ขนส่งลิปิดจากลำไส้เล็กไปยังตับ และจากตับไปยังแหล่งสะสมไขมันและเนื้อเยื่ออื่นๆ เพื่อที่จะนำไปเลี้ยงและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย Lipoprotein แต่ละชนิดจะมีปริมาณ Lipid และ Protein แตกต่างกัน ทำให้มีความหนาแน่นต่างกัน สามารถแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มตามค่าความหนาแน่นคือ Chylomicron, Very Low Density Lipoprotein (VLDL) , Low Density
Lipoprotein (LDL) และ High Density Lipoprotein (HDL) แต่ละชนิดมีองค์ประกอบเป็น โปรตีน, Cholesterol, Phospholipid และ Triglyceride
องค์ประกอบหลักของ Lipoprotein ทั้ง 4 ชนิด



Chylomicron คือ โปรตีนแต่ไม่ค่อยมีใครพูดถึง
VLDL ก็คือ Lipoprotein ชนิดหนึ่ง
LDL ถูกเรียกผิดๆ ว่า Bad Cholesterol
HDL ซึ่งเป็น Lipoprotein ที่ขนาดเล็กที่สุด แต่ก็ถูกเรียกผิด ๆ ว่า Good Cholesterol
ทั้ง LDL และ HDL เมื่อดูตามโครงสร้างทางชีวโมเลกุลจะเห็นว่าไม่มีส่วนประกอบของ Cholesterol อยู่เลย ดังนั้นมันจึงไม่ใช่ Cholesterol แต่มันคือ Lipoprotein ข้อมูลอีกอันหนึ่งเกี่ยวกับ LDL มีการเก็บข้อมูลของคนอินเดียและคนอเมริกันผิวขาวที่อาศัยอยู่ในอเมริกา

คนอินเดีย มีอัตราความอ้วน ความดัน LDL สูบบุหรี่น้อยกว่าคนอเมริกันผิวขาวมากมาย แต่อัตราการตายของคนอินเดียกลับสูงกว่ามากมายหลายเท่า และสาเหตุของการตายที่มีอัตราสูงที่สุดคือโรคหัวใจ ทำไมข้อมูลต่อไปนี้ไม่ถึงมือผู้บริโภค?
Journal of the American Medical Association in 1995 : (จากหนังสือหน้า 123) Our findings do not support the hypothesis that hyper cholesterolemia or low HDL – C are important risk factors for all cause mortality, coronary heart disease mortality, or hospitalization for my ocardial infarction or unstable angina in this cohort of persons older than 70 years.

สรุป สมาคมแพทย์อเมริกาแถลงไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2538 ว่า สมมุติฐานที่ว่า Cholesterol สูง และ HDL ต่ำ เป็นเรื่องที่น่ากลัว เสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหัวใจวายนั้น ไม่เป็นความจริง ทำไมเมืองไทยทั้งประเทศไม่มีใครรู้หรือสนใจ แต่สนใจที่จะทำตามข้อมูลที่บริษัทยาให้มากกว่าเพราะอะไร

Journal of the American Geriatric Society in 1991 : Elevated total cholesterol was not found to be associated with CHD mortality in older men.
National Centre for Health Statistics : Although coronary heart disease remains a leading cause of death and disability in old age, the relationship of serum cholesterol level to risk of coronary heart disease in old age is controversial. Data for 2,388 white person aged 65 – 74 … were examined to determine the relationship of serum cholesterol level to coronary heart disease incidence… there was no overall relationship between serum cholesterol level and coronary heart disease risk in either
men or women…

สรุป ข้อมูลจากสถาบันต่างๆ ที่น่าเชื่อถือประกาศมาตั้งแต่ พ.ศ. 2534 ว่า ถึงแม้โรคหัวใจเป็นสาเหตุการตาย และ ความพิการสำหรับผู้สูงอายุแต่ว่าความสัมพันธ์ระหว่าง ระดับ Cholesterol กับความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ ไม่มีความเกี่ยวข้องกัน ทำไมเราไม่เคยได้ยิน?

ทำไมข้อมูลเหล่านี้จึงไม่ได้รับการเผยแพร่?? พฤติกรรมของบริษัทยา บริษัท .... ซึ่งเป็นบริษัทผลิตยาขนาดเล็ก ใช้เงินในการส่งเสริมการขายยากลุ่ม Statin ในปีแรกสูงถึง 1 พันล้านเหรียญ ยังไม่รวมอีก 6 บริษัทที่ใหญ่กว่ามากได้ส่งเสริมการขายไปก่อนแล้วแต่ไม่เปิดเผยถึงงบประมาณนี้ บริษัทยาจะเซ็นสัญญากับนักวิจัยว่าห้ามเปิดเผยข้อมูล โดยจะเลือกเปิดเผยเฉพาะข้อมูลที่มีผลประโยชน์กับบริษัทเท่านั้น และจ่ายเงินให้นักหนังสือพิมพ์เพื่อไปเขียนเชียร์ผลิตภัณฑ์ จัดประชุมสัมมนาทางวิชาการระดับนานาชาติ แล้วให้ข้อมูลการวิจัยซึ่งมีสถาบันที่ดูน่าเชื่อถือรับรองผล ให้กับหมอโดยตรง ครอบงำ FDA เมื่อ FDA จะยอมรับยาอะไรก็ต้องผ่านการทดสอบในวิธีการที่ต้องใช้ทุนสูงมาก ตามแนวทางที่บริษัทยาตั้งไว้ แล้วประกาศเป็นกฎหมายบังคับใช้ ด้วยกระบวนการและวิธีต่างๆ ที่ได้กล่าวมาและพยายามผลักดันให้ข้อมูลผลการวิจัยของบริษัทยาแทรกซึมเข้าไปในหลักสูตรการแพทย์

ผลเสียของ Statin (ตัวยาที่ใช้ในยาลดCholesterol)
- ทำให้ปวดกล้ามเนื้อ
- เป็นโรคกล้ามเนื้อสลาย
- ในอเมริกามีผู้เสียชีวิตโดยตรงกับการใช้ยานี้ไปแล้ว 416 คน (เก็บข้อมูล 6 ปี)
- มีพิษทำลายระบบประสาท ทำให้สูญเสียความจำ มึนงง เวียนหัว

ข้อมูลที่มีแนวโน้มว่าจะเป็นผลเสีย
- มีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็ง
- มีโอกาสเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจ มากกว่าคนที่ไม่ได้กินยานี้ถึง 3 เท่า
- มีโอกาสเป็นเบาหวานเพิ่มขึ้น 27%
Statin ปัจจุบันเป็นยาอันดับ 1 ที่สร้างผลกำไรมหาศาลให้กับบริษัทยาทั่วโลก (ยกเว้นบริษัท Bayer ของเยอรมัน ที่มีจรรยาบรรณและได้ถอนตัวออกจากตลาดไปเมื่อปี 2001 เนื่องจากติดตามผล แล้วพบว่ามีผู้เสียชีวิตโดยตรงจากการใช้ยานี้ถึง 40 คน) ลองย้อนกลับไปดูชีวิตมนุษย์เมื่อหมื่นปีก่อน ร่างกายของเราถูกสร้างมาให้ทำอะไร กินอะไร และใช้ชีวิตยังไง ถ้าหากเราใช้ชีวิตถูกต้องตามที่ธรรมชาติออกแบบมา ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องกินยา

สรุป
LDL และ HDL ไม่ใช่ Cholesterol และ Cholesterol เองก็ไม่ใช่ไขมัน เป็นความเข้าใจผิดหรือถูกบิดเบือนอย่างสิ้นเชิง ที่ไปเรียก LDL ว่า “Bad Cholesterol” และเรียก HDL ว่า “Good Cholesterol” และระดับ Cholesterol ที่สูงไปบ้างก็ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายแต่อย่างใด ตรงกันข้าม หากระดับ Cholesterol ในเลือดต่ำร่างกายจะไม่สามารถซ่อมแซมตัวเองและสร้างฮอร์โมนได้ทัน อันเป็นสาเหตุของโรคแห่งความเสื่อมต่างๆ

ทิ้งท้าย เริ่มมีกระแสที่ถือว่าทันสมัยที่ว่าดู LDL อย่างเดียวไม่พอ ต้องดูให้ละเอียดไปถึง VLDL บางท่านก็บอกว่ามันเล็กกว่า LDL ตรวจยาก!
“เราโดนบริษัทยาหลอกอีกแล้ว!”

ที่มา : หนังสือ The Great Cholesterol Con โดย Dr. Malcolm Kendrick ISBN 978-1-84454-610-7

ถ้า Cholesterol ไม่ใช่ผู้ร้ายตัวจริง แล้วอะไรเป็นสาเหตุของโรคหัวใจที่แท้จริง?
อันดับ 1 คือ ความเครียด
ความเร่งรีบ ความโกรธ ความตื่นเต้น การแข่งขัน ความกดดัน ตลอดจน ความเครียดจากการสูญเสียคู่ชีวิต การน้อยเนื้อต่ำใจ เป็นต้น
ความเครียดทำให้ร่างกายขับฮอร์โมนร้ายออกมาเป็นชุด เช่น ฮอร์โมนจากต่อมหมวกไต ทำให้หัวใจเต้นเร็ว ความดันสูง เป็นต้น
ตัวอย่างในวันชิงแชมป์ฟุตบอลโลกที่ผ่านมาประเทศผู้แพ้ อัตราการตายด้วยโรคหัวใจวายสูงขึ้นกว่าวันธรรมดาหลายเท่า ตรงกันข้าม ฝ่ายประเทศที่ชนะการตายด้วยโรคหัวใจวายคืนนั้นน้อยกว่าปกติ เพราะฉะนั้นท่านผู้เป็นแฟนฟุตบอล แฟนมวย พึงมีสติ ระวังคอยควบคุมอารมณ์ตื่นเต้นให้ดีในการเชียร์กีฬา ท่านคงมีคำถามในใจว่า ทำไมชาว Aborigin คนพื้นเมืองดั้งเดิมในออสเตรเลียซึ่งมีระดับ LDL ต่ำมาก แต่ทำไมถึงมีอัตราด้วยโรคหัวใจสูงกว่าฝรั่งออสเตรเลียนมากมาย คำตอบคือชาว Aborigin มีความเครียดอย่างมาก จากการถูกกดขี่ ข่มเหง ดูถูกจากพวกฝรั่งมาช้านาน พวกนี้เครียดมากเข้าก็หันไปกินเหล้า ก็ยิ่งมีปัจจัยเสี่ยงเพิ่มขึ้นไปอีก

ทำนองเดียวกันชาวอินเดียที่อยู่ในอเมริกา ทั้งที่กินมังสวิรัติกันเป็นส่วนใหญ่ กินเหล้า สูบบุหรี่ ก็น้อยกว่าฝรั่งอเมริกันมาก LDL ก็ต่ำกว่ามากมาย แต่หัวใจวายสูงกว่าฝรั่งหลายเท่า เพราะชาวอินเดียในอเมริกาไม่ได้รับการยอมรับจากสังคม ถูกตั้งข้อรังเกียจ กีดกัน มีความเครียดสูงมาก จะเห็นได้ว่าคนไทยที่อาศัยอยู่ในเมืองหลวงมีความเครียดมากกว่าอยู่ในชนบทมาก สังเกตดูอัตราการตายด้วยโรคหัวใจและมะเร็งสูงกว่าคนต่างจังหวัดอย่างชัดเจน แน่ละครับปัจจัยอื่น ๆ มีผลด้วยเช่น อากาศเสีย มลพิษต่าง ๆ ขาดการออกกำลังกาย เป็นต้น แต่ความเครียดเป็นปัจจัยสำคัญแน่นอน

อันดับ 2 คือ การอักเสบของผนังหลอดเลือด
สาเหตุที่สำคัญที่ทำให้หลอดเลือดอักเสบคือ การที่มีเชื้อแบคทีเรียหลุดเข้าไปในการแสโลหิต โดยเริ่มจากเหงือกหรือฟันอักเสบ แบคทีเรียจะหลุดเข้าไปทางเส้นเลือดผ่านที่เหงือก เมื่อเจอจุดอ่อนที่ใดจะเข้าจู่โจมจนผนังหลอดเลือดเริ่มอักเสบ คล้ายบาดแผลขนาดจิ๋ว LDL มีหน้าที่ตามธรรมชาติ เสมือนปูนฉาบที่เข้าซ่อมผนังกำแพงที่เริ่มร้าว เมื่อ LDL เข้าไปปิดแผลก็มีเกิดรอยนูนขึ้นเล็กน้อยในหลอดเลือด ก็เป็นจุดที่มักมีโลหะหนักและแคลเซียมเข้ามาเกาะสมทบ หากการอักเสบยังเกิดขึ้นซ้ำที่บ่อย การพอกดังกล่าวก็จะหนาขึ้นจนอุดตัน ยิ่งเกิดความเครียดขึ้น การจับตัวของเกล็ดเลือดในจุดเหล่านี้ ก็จะอันตรายยิ่งขึ้น มีข้อสังเกตจากผู้ที่ไม่ใช่บริษัทยาว่าประมาณ 50% ของผู้ที่หัวใจวาย มีระดับ LDL ต่ำ การอักเสบของหลอดเลือดน่าเป็นสาเหตุสำคัญของเส้นเลือดอุดตัน การทำ Oil Pulling ด้วยการอมน้ำมันมะพร้าว แล้วใช้ปากบังคับให้น้ำมันมะพร้าวผ่านซอกฟันไปมา 20 นาที Lauric Acid ในน้ำมันมะพร้าวจะช่วยฆ่าเชื้อโรคในซอกฟันและเหงือก หากทำก่อนนอนและเมื่อตอนตื่นนอน จะรู้สึกด้วยตนเองว่าปากสะอาดกว่าวิธีใดๆ และอาจช่วยป้องกันโรคหัวใจจากสาเหตุหลอดเลือดอักเสบได้ถึง 50% คุ้มยิ่งกว่าวิธีใดๆ เพราะเป็นการป้องกัน ไม่ใช่วิธีเป็นแล้วค่อยมาแก้ไข

อันดับ 3 ไตรกลีเซอไรด์สูง
Triglyceride เป็นไขมันในเลือดตัวจริงแต่บริษัทยาไม่พูดถึงนัก เพราะยา Statin แทบไม่มีผลในการลด Triglyceride สาเหตุที่สำคัญคนไทยมี Triglyceride สูงขึ้นกว่าในอดีตมาก เพราะปัจจุบันคนไทยกินน้ำตาลสูงขึ้นมากจนไม่น่าเชื่อ ตัวเลขคือ 36 กก. ต่อคนต่อปี เพิ่มจากปี 2554 33 กก.ต่อคนต่อปี (ที่มา บ.เนสเล่ท์ ประเทศไทย) ตัวเลขนี้หมายถึงรวมน้ำตาลที่มากับน้ำอัดลม กาแฟ น้ำชา น้ำผลไม้ นม อาหารหวาน คาว ทั้งหลาย ที่น่ากลัวคือพฤติกรรมการบริโภคอาหารตะวันตก เช่น น้ำอัดลม ไอศกรีม เค้ก คุกกี้ ขนมขยะทั้งหลาย อาหารที่มาจากแป้งขาว แม้แต่ข้าวขาวหรือผลไม้หวานจัด ก็เป็นสาเหตุให้ Triglyceride สูงขึ้น อันเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคหัวใจวาย

การลดการกินน้ำตาลและอาหารทำจากแป้งขัด ข้าวเจ้า ซึ่งผิดธรรมชาติดั้งเดิมของมนุษย์ นอกจากจะเป็นสาเหตุให้เส้นเลือดอุดตันแล้ว ยังมีส่วนทำให้เป็นเบาหวานและความดันโลหิตสูงอีกด้วย น้ำตาลคือฆาตกรเงียบ นอกจากเป็นอันตรายอย่างใหญ่หลวงต่อร่างกายในระยะเวลายาวแล้ว ยังทำให้ผู้บริโภคเสพติดของหวาน ถ้าขาดหวานจะหงุดหงิด ก้าวร้าว จะเห็นได้ว่าเด็กในยุคนี้จะมีอาการก้าวร้าวขึ้นเรื่อยๆ ตาม อัตราการบริโภคน้ำตาลที่เพิ่มขึ้น ไม่หยุดยั้ง

คนไทยโบราณเขารู้เรื่องนี้มานานแล้วครับ ไปถามผู้เฒ่าดูสิครับ จะทำให้หมาดุทำอย่างไร? คำตอบส่วนมาก ก็รู้กันอยู่แล้วคือ เอาน้ำตาลคลุกข้าวให้มันกินเดือนเดียวมันก็ดุแล้ว แล้วลูกหลานคุณล่ะ? การขาดการออกกำลังกายที่เหมาะสม ก็เป็นอีกเหตุหนึ่งที่ทำให้ Triglyceride สูง ซึ่งคนเมืองหลวงขาดกันมาก
อันดับ 4 กินไขมันไม่อิ่มตัวที่ผ่านขบวนการผลิตแบบใช้ความร้อนและเคมี
50 ปีที่ผ่านมา พวกเราโดนล้างสมองให้เชื่อว่าน้ำมันมะพร้าวและน้ำมันหมูที่เราเคยใช้ในอดีตมายาวนานไม่ดี เพราะมีไขมันอิ่มตัว (Saturated Fat) สูง โดยเฉพาะวงการแพทย์จะมีข้อมูลให้คนไข้ว่าอย่ากินอาหารที่ทำจากกะทิ น้ำมันมะพร้าวหรือน้ำมันหมู เพราะ “ มี Cholestorol สูง” ทั้ง ๆ ที่น้ำมันมะพร้าวหรือกะทิไม่มีคอเลสตอรอลเลย แต่นำเรื่องไขมันอิ่มตัวและคอเลสตอรอลมาปนกันจนคนไขว่เขว ผลปรากฏว่า 50 ปีที่ผ่านมา ทั้งโรคหัวใจและมะเร็งของคนไทยพุ่งพรวด ๆ เป็นอัตราการตายลำดับ 1 และ 2 และไม่มีแนวโน้มว่าจะลด ชาวเกาะที่กินกะทิ กินน้ำมันมะพร้าวมาตลอด การเป็นโรคหัวใจหรือมะเร็งต่ำมาก เหมือนคนไทยในอดีต น้ำมันพืชที่ขาย ๆ อยู่ในเมืองไทยปัจจุบันเป็นไขมันไม่อิ่มตัวเป็นส่วนใหญ่ ไม่ดีหรือ? ดีครับ ถ้าเป็นน้ำมันไม่อิ่มตัวแบบบีบเย็น เก็บในขวดสีชา แช่เย็นทันทีเมื่อเปิดขวดแล้วใช้ไม่หมด ข้อมูลที่เขาทำจาก การวิจัยมาโฆษณานั้นดีจริงครับ แต่เวลาเขาผลิตมาขายมันคนละตัวกัน หลอกให้เชื่อแล้วก็เชือดสุขภาพของพวกเรา มา 50 ปีแล้วครับ

น้ำมันพืชขวดสีเหลือง ๆ ที่ขายกันทั่วไป เป็นน้ำมันที่มีไขมันไม่อิ่มตัวที่ถูกผลิตด้วยกรรมวิธีทางอุตสาหกรรมที่ผ่านความร้อนประมาณ 220°c ซึ่งน้ำมันไม่อิ่มตัวไวมากต่อการทำปฏิกิริยากับออกซิเจนในอากาศ ถึงไม่โดนความร้อนแค่ 20 นาทีที่ทิ้งไว้ในอากาศก็เสื่อมแล้ว แต่เขาผ่านความร้อน 220°c ทำให้เปลี่ยนสภาพเป็น Transfat ซึ่งอยู่ตัวเก็บไว้ได้นานไม่เหม็นหืนง่าย แต่เป็นอันตรายอย่างยิ่งสำหรับผู้บริโภค นอกจากนั้นการสกัดน้ำมันยังใช้สารเคมีเข้าช่วย เพื่อให้การสกัดมีประสิทธิภาพสูง น้ำมันพวกนี้จึงมีสารเคมีตกค้างอยู่ด้วย แต่เขาอ้างว่าอยู่ในปริมาณที่ปลอดภัย น้ำมันเมื่ออยู่ในขวด Plastic นานๆ ก็ย่อมละลายสารก่อมะเร็งเข้าไปอยู่ในตัวน้ำมันที่เราจะนำไปบริโภค น้ำมันมะพร้าวบีบเย็น (Cold Presed Coconut Oil) หรือ Virgin Coconut Oil (VCO) ปัจจุบันประเทศที่เจริญแล้วทั้งหลาย เขายอมรับกันแล้วว่าเป็นน้ำมันปรุงอาหารที่ดีที่สุดในโลก เพราะเป็นไขมันอิ่มตัวชนิดที่เหมือนในน้ำนมมารดาเป็นธรรมชาติที่สุดมี Lauric Acid ที่เป็นภูมิต้านทานให้ร่างกายเหมือนนมแม่ โดนความร้อนก็มีโทษน้อย กว่าน้ำมันชนิดใดๆ ในโลก เช่น น้ำมันมะกอก ซึ่งดีมากถ้าใช้ทำสลัด คือไม่โดนความร้อน แต่ถ้าไปผัด ไปทอด
กลายเป็นพิษทันทีจากไขมันไม่อิ่มตัวที่กลายเป็น Transfat
*****ไขมันทรานส์ เป็นกรดไขมันที่เกิดจากกระบวนการแปรรูปกรดไขมันไม่อิ่มตัวให้กลายเป็นกรดไขมันอิ่มตัวสูง โดยการเติมไฮโดรเจนลงไปในน้ำมันพืช เรียกว่า กระบวนการไฮโดรจีเนชั่น (Hydrogenation) เช่น น้ำมันปาล์ม น้ำมันถั่วเหลือง ทำให้มีลักษณะเป็นกึ่งของแข็ง เช่น มาการีนหรือเนยเทียม เนยขาว ครีมเทียม เป็นต้น โดยจะมีชื่อบนฉลากอาหารคือ กรดไขมันชนิดทรานส์ หรือ Hydrogenated Oil หรือ Partially Hydrogenated Oilเนื่องจากไขมันทรานส์คือไขมันที่เกิดจากการแปรรูป จึงสามารถเก็บรักษาไว้ได้นานโดยไม่เหม็นหืน ไม่เป็นไข และสามารถทนความร้อนได้สูง รวมถึงมีรสชาดที่ใกล้เคียงกับไขมันที่มาจากสัตว์ แต่จะมีราคาที่ถูกกว่า และเนื่องจากไขมันทรานส์เป็นไขมันที่เกิดจากการแปรรูป ซึ่งย่อยสลายได้ยากกว่าไขมันชนิดอื่น ทำให้ตับต้องสลายไขมันทรานส์ด้วยวิธีการที่แตกต่างไปจากการย่อยสลายไขมันตัวอื่น จึงอาจก่อให้เกิดสภาวะที่ผิดปกติกับร่างกาย คือ จะทำให้ร่างกายมีน้ำหนักและไขมันส่วนเกินเพิ่มมากขึ้น, มีภาวะการทำงานของตับที่ผิดปกติ, มีความเสี่ยงสูงที่จะเป็น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ (Coronary Heart Disease) โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน และโรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด *****

สาเหตุของโรคหัวใจวายคงมีเรื่องอื่นๆที่หลายท่านจะพูดถึง เช่น ขาดการออกกำลังกายที่เหมาะสม แต่ความเครียดและอาหารที่คนไทยเราเปลี่ยนไปในช่วง 60 ปีที่ผ่านมา เป็นสองเรื่องใหญ่ที่ฝรั่งเข้ามาสอนให้คนของเราละโมบ อยากรวยโดยคิดว่ารวยแล้วจะได้มีความสุข ผลปรากฏว่า เครียดๆๆ ขึ้นโดยลำดับ โรคหัวใจที่ 60 ปีที่แล้ว คนไทยตายด้วยโรคนี้น้อยมาก กลายเป็นโรคที่ตายอันดับสองตกลงมาจากอันดับหนึ่งเมื่อไม่กี่ปีที่มานี้เอง ถูกโรคมะเร็งแซงเป็นอันดับหนึ่งเพราะอัตราการเป็นมะเร็งของคนไทย เพิ่มขึ้น 100 เท่า (10,000%) ในช่วง 60 ปีที่ผ่าน

มา ด้วยเหตุเรากินอาหารและรักษาโรคด้วยยาเคมีตามแนวฝรั่ง ทิ้งอาหารไทย แพทย์ไทย เลยตายทันสมัยเหมือนฝรั่ง

เครดิต: หนังสือ The Great Cholesterol Con โดย Dr. Malcolm Kendrick จากการแปลของมูลนิธิแห่งหนึ่งไม่อ้างอิงไว้ และไม่พบชื่อผู้แปล

บทความนี้นำมาจาก
http://onknow.blogspot.com/2013/04/200.html

ผู้รู้อีกท่านชี้แจงว่า
Journal of the American Medical Association in 1995 : (จากหนังสือหน้า 123) Our findings do not support the hypothesis that hyper cholesterolemia or low HDL – C are important risk factors for all cause mortality, coronary heart disease mortality, or hospitalization for my ocardial infarction or unstable angina in this cohort of persons older than 70 years.

สรุป สมาคมแพทย์อเมริกาแถลงไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2538 ว่า สมมุติฐานที่ว่า Cholesterol สูง และ HDL ต่ำ เป็นเรื่องที่น่ากลัว เสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหัวใจวายนั้น ไม่เป็นความจริง ทำไมเมืองไทยทั้งประเทศไม่มีใครรู้หรือสนใจ แต่สนใจที่จะทำตามข้อมูลที่บริษัทยาให้มากกว่าเพราะอะไร

ความจริงก็คือ งานวิจัยนี้มีจริง ตีพิมพ์ใน JAMA จริง แต่ไม่ได้ตรงกับหน้าที่อ้างถึง โดยตีพิมพ์ในปี 1994 จุดอ่อนของการศึกษานี้คือ
1 จำนวนคนน้อยมากราวๆ 900 กว่าคน
การที่งานวิจัยไม่พบความสัมพันธ์ระหว่าง A กับ B หรือในที่นี้คือระดับไขมันกับอัตราตายและโรคหัวใจเมื่อไปดูเนื้องานพบว่าค่า CI ที่ได้มีความกว้างมากบ่งบอกถึงงานวิจัยนี้อาจไม่มีความสามารถพอที่จะแยกความแตกต่างที่มีอยู่ได้ เปรียบเสมือนจุดสองจุดหากห่างกัน 1 เซนติเมตรเมื่อมองที่ระยะ 20 เมตรก็อาจเห็นรวมเป็นจุดยาวๆจุดเดียวแต่เมื่อมองขยายภาพหรือเดินเข้ามาใกล้ก็จะสามารถของเห็นว่าจุดนั้นอยู่ห่างกัน
2 ระยะเวลาติดตามคนไข้สั้นมากคือแค่ 4 ปี ซึ่งเรารู้ว่านานแล้วว่าไขมันในเลือดสัมพันธ์กับอัตราตายและโรคหัวใจในระยะเวลาอีก 10-15 ปีขึ้นไปดังนั้นหากติดตามสั้นเกินไปก็อาจไม่พบความแตกต่าง

งานวิจัยนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางถึงการสรุปผลการศึกษาที่เกินว่าข้อมูลที่มีอยู่จริง สิ่งที่การศึกษานี้จะต้องสรุปคือ การศึกษานี้ไม่มีความสามารถพอที่จะแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างคลอดเลสเตอรอลและอัตราตายต่างๆ

ในปี 1995 จึงมีการรวบรวมข้อมูลจาก 7 ประเทศ คนไข้มากกว่าแสนคน โดยมีการติดตามรวมเฉลี่ย 25 ปี พบว่ามีความสัมพันธ์ที่ชัดเจนระหว่างระดับไขมันในเลือดและอัตราตาย โรคหัวใจและหลอดเลือด
การรักษาด้วยยาลดไขมันลดอัตราตายได้ในคนที่มีแต่ไขมันในเลือดสูงหรือเคยมีประวัติโรคหัวใจมาก่อน



คลอเรสเตอรอลเกิน 200 อย่างเดียวแพทย์ก็ไม่ได้ให้ยาลดไขมันทุกรายนะครับ

เมจิก พี:ในความเห็นของผม ตรงหัวข้อ "ถ้า Cholesterol ไม่ใช่ผู้ร้ายตัวจริง แล้วอะไรเป็นสาเหตุของโรคหัวใจที่แท้จริง?" ที่ผมทำตัวหนังสือสีเขียวไว้ น่าจะเป็นข้อมูลที่นำไปใช้ประโยชน์ ได้ดีกว่าการดูแค่ว่าใช่หรือไม่ใช่โคเลสเตอรอล หรือมากกว่า น้อยกว่า200 ที่ทำให้หลอดเลือดอุดตัน
และที่ผู้รู้ท่านสุดท้าย(เป็นหมอ)โพสว่า" มีความสัมพันธ์ที่ชัดเจนระหว่างระดับไขมันในเลือดและอัตราตาย โรคหัวใจและหลอดเลือด" ไม่แน่ใจว่าไขมันในเลือดที่คุณหมอกล่าวถึงนั้นหมายถึงตัวใดระหว่างไตรกลีเซอไรด์หรือโคเลสเตอรอลหรือทั้ง2ตัว (แต่ที่ข้อเขียนข้างต้นบอกว่าโคเลสเตอรอลไม่ใช่ไขมัน แสดงว่าไขมันในเลือดที่คุณหมอโพสหมายถึงไตรกลีเซอไรด์???)
ส่วนท่านผู้ใดจะมีความเห็นต่างออกไปก็แล้วแต่ท่านนะครับ ไม่จำเป็นต้องเห็นอย่างเดียวกับผมครับ
เมจิก พี
 
โพสต์: 294
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 พ.ย. 2012, 15:51

Re: เบื่อจุงเบย!!! ตะลึง...ข้อมูลใหม่ "ช็อคโลก!!!"

โพสต์โดย เมจิก พี » 09 มี.ค. 2015, 04:16

10443379_852337581460916_826706132272565411_n.jpg
คอเลสเตอรอล การหลอกลวง เพื่อล้วงกระเป๋าระดับโลก

ทำไม...อยู่ดีๆทุกคนก็ดูจะมีปัญหากับไขมันในเลือดขึ้นมาจนต้องทานยาลดไขมันกันเกือบทุกคน?
ทำไม...อยู่ดีๆปริมาณผู้ป่วยที่มารักษาไขมันพอกตับก็พุ่งกระฉูด?

คำถามเหล่านี้อยู่ในใจหมอมาสักพักใหญ่ เพราะจากการติดตามคุณพ่อเพื่อศึกษาสืบทอดการรักษาโรคเรื้อรัง
ก่อนหน้านี้สักสิบกว่าปี...ภาวะไขมันในเลือดสูงถึงขั้นต้องทานยา และภาวะไขมันพอกตับนั้น หมอจะพบในคนไข้บางคนเท่านั้น
จนกระทั่ง4-5ปีมานี้ ในคลินิกเรา....ทั้ง2อย่างกลับกลายมาเป็นโรคยอดนิยมมาแรงแซงโค้งทัดเทียมโรคเบาหวานเลยทีเดียว

เกือบทุกคนที่มาล้วนต้องทานยาลดไขมัน เยอะ...จนเป็นเรื่องธรรมดา แต่ที่ไม่ธรรมดาคือผลข้างเคียงที่กระทบต่อตับ

หลายคนที่เป็นโรคอื่นๆ เช่น ความดันโลหิตสูง หมอก็มักตรวจเจอว่ามีการทำงานของตับที่อ่อนแอลง ส่งผลให้อ่อนเพลีย นอนไม่หลับ และมีอาการหลายๆอย่างของโรคตับ เมื่อสอบถามดูก็มักพบว่าทานยาลดระดับคลอเรสเตอรอล จึงต้องทำการรักษาตับควบคู่ไปด้วย จึงจะหายจากอาการดังกล่าว

บทความนี้มีแง่มุมน่าสนใจที่อาจตอบโจทย์ได้ว่า...แท้จริงแล้วโรคทั้ง2นี้ อาจเป็นโรคที่มนุษย์เราเพิ่งประดิษฐ์มันขึ้นมาด้วยตัวเอง และเราอาจหลีกเลี่ยงได้




คุณเคยคิดไหมว่า ทำไมจู่ๆ "ภาวะ" คอเลสเตอรอลสูงซึ่งไม่เป็นที่รู้จักเลยเมื่อ 30 ปีที่แล้ว กลับกลายเป็น "โรค" ซึ่งสร้างความกลัว ความวิตกกังวลให้กับคนนับสิบล้านทั่วโลก?

ความ กลัวคือความทุกข์ประการหนึ่ง เป็นสิ่งที่บั่นทอนความสุขของผู้คน แต่ความกลัวก็เป็นสิ่งที่บันดาลความสุขให้คนอีกกลุ่มหนึ่ง คือ คนขายยายังไงเล่า

การสร้างความกลัวดังกล่าวให้รายได้กับบริษัทยาทั่วโลกมากกว่า 25,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี

คอ เลสเตอรอลเป็นสารองค์ประกอบที่จำเป็นตัวหนึ่งในร่างกายของเรา เราใช้มันสร้างเยื่อหุ้มเซลล์ สร้างฮอร์โมนเพศ สร้างฮอร์โมนคอร์ติโซลเพื่อช่วยระบบร่างกายแบกรับความเครียด

ต่อ มามีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์แสดงว่า ระดับคอเลสเตอรอลสูงในเลือดมีความสัมพันธ์ต่อโรคหัวใจหลอดเลือด แต่ยังไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่า คอเลสเตอรอลที่ระดับเท่าไหร่จึงจะเสี่ยงต่อโรคกลุ่มนี้

และมีประชากรจำนวนกี่คนที่จะเสี่ยงต่อเรื่องนี้จริงๆ

นายเฮนรี แกดสเดน ซึ่งเป็นประธานบริษัทเมิร์ก ยักษ์ใหญ่ของธุรกิจยาซึ่งกำลังจะเกษียณอายุ ได้ให้สัมภาษณ์นิตยสารฟอร์จูนว่า "บริษัทยา ถูกจำกัดศักยภาพไว้ให้อยู่เฉพาะกับผู้เจ็บป่วยเท่านั้น แท้จริงแล้วบริษัทเมิร์กควรทำแบบบริษัทขายหมากฝรั่ง คือผลิตยาขายให้กับคนสุขภาพดี ให้บริษัทสามารถขายยาให้แก่ทุกๆ คน"

แปล ฝรั่งพูดไทยให้คนไทยฟังก็คือ นายแกดสเดนคิดว่า ถ้าเขามัวแต่ขายยาลดคอเลสเตอรอลให้กับผู้ป่วยจริงๆ คือพวกโรคหัวใจ เขาก็จะรวยช้า จำเป็นอยู่เองที่เขาจะต้องทำให้คนปกติที่ไม่ป่วย แต่เข้าใจว่าตัวเองป่วย และหันมากินยาลดไขมันของเขา เขาจะได้รวยเร็วขึ้น

คิดได้ดังนั้นแล้ว นายเฮนรี แกดสเดน ก็จัดการทำ "ใต้ โต๊ะ" กับคณะผู้เชี่ยวชาญชุดหนึ่งในสหรัฐซึ่งมีหน้าที่กำหนดค่ามาตรฐานของคอเลสเต อรอลในเลือด ให้ปรับค่าปกติของคอเลสเตอรอลจากเดิมที่ 250 ม.ก./ด.ล. มาเป็น 200 ม.ก./ด.ล. งานนี้ประชุมกันในปลายปี ค.ศ.2001

ผล ก็คือ หลังการประชุมในคืนนั้นคนทั่วโลกนอนหลับไป ครั้นตื่นขึ้นมาตอนเช้าก็พบว่ามีประชากรหลายสิบล้านคนทั่วโลก ซึ่งเมื่อวานนี้ยังเป็นคนปกติอยู่ แต่นอนหลับไปคืนเดียว ตื่นขึ้นมาก็พบว่าตนกลายเป็นผู้ป่วยไปเสียแล้ว

ด้วยเหตุนี้ยาสแตตินซึ่งครอบคลุมชาวอเมริกัน 13 ล้านคน ในปี ค.ศ.1990 จึงเพิ่มกลุ่มประชากรที่ต้องบริโภคยาเป็น 36 ล้านคน ภายในชั่วข้ามคืนเดียวตามกำหนดของหลักเกณฑ์ใหม่โดยคณะผู้เชี่ยวชาญ (ด้านการใช้ยา) ในปีดังกล่าว

ซึ่งต่อมามีความจริงที่พบว่า คณะผู้เชี่ยวชาญคณะนี้มี 14 คน มี 5 คน ที่มีความสัมพันธ์ด้านการเงินกับผู้ผลิตสแตติน 8 ใน 9 ของคนคณะนี้รับจ้างบรรยาย เป็นที่ปรึกษา หรือทำวิจัยให้บริษัทยายักษ์ใหญ่ มีผู้เชี่ยวชาญรายหนึ่งรับเงินจากบริษัทถึง 10 บริษัทด้วยกัน

ความเชื่อมโยงเหล่านี้ไม่เป็นที่รับรู้ของสาธารณะ จนมีองค์กรสื่อในอเมริกานำมาเปิดโปง และเกิดวิวาทะครั้งใหญ่

ใครที่สนใจเรื่องนี้ไปหาอ่านได้ในหนังสือ "อุบายขายโรค" พิมพ์โดยสำนักพิมพ์หมอชาวบ้าน นพ.วิชัย โชควิวัฒน เป็นบรรณาธิการ

คุณเป็นอีกคนหนึ่งใช่ไหมที่ตกอยู่ในฐานะ นักบริโภคยาลดไขมัน

คงจำได้ว่าเมื่อก่อนนี้หมอเคยชี้ว่าคุณเป็นโรคคอเลสเตอรอลสูงเมื่อระดับเกิน 250 ม.ก./ด.ล. แต่ต่อมาไม่นานกลับไปหาหมอคนเดิม ทีนี้ท่านบอกคุณว่า "มีงานวิจัยใหม่แล้วว่าคอเลสเตอรอลที่ปลอดภัยต้องไม่เกิน 200 ม.ก./ด.ล. เพราะคนที่ระดับคอเลสเตอรอลระหว่าง 200-250 ม.ก./ด.ล. ก็มีสิทธิตายด้วยหัวใจหลอดเลือดอีกตั้งเยอะ เห็นท่าจะจำเป็นจ่ายยาลดคอเลสเตอรอลให้คุณละนะ ไหนๆ คุณก็เบิกค่ารักษาพยาบาลได้อยู่แล้ว" ดังนั้น คุณก็ยอมรับอย่างน่าชื่น

แต่ คุณรู้ไหมว่า ยาลดไขมันเหล่านี้เข้าไปทำหน้าที่อย่างไรในร่างกาย ทำไมจู่ๆ คนมีนิสัยแย่ๆ ในการกินอาหารจนคอเลสเตอรอลสูง ครั้นหันมากินยาลดไขมันแต่ยังคงดำเนินชีวิตแย่ๆ ต่อไป แล้วคอเลสเตอรอลในเลือดก็ลดลงได้

ตามหลักฟิสิกส์แล้ว สสารย่อมไม่สูญสลายไปไหน แล้วคุณเคยสงสัยไหมว่า ไขมันที่คุณกินเข้าไปอย่างตามใจปาก มันหายไปไหนหมด

คำตอบก็คือ ยาลดไขมันไปทำหน้าที่เพิ่มปุ่มรับ (receptor) บนเซลล์ตับ ให้ตับเก็บรับคอเลสเตอรอลจากกระแสเลือด แล้วไปซุกอยู่ในเซลล์ตับนั่นเอง

ผล ก็คือการหลอกลวงว่า ในเลือดของเราหลังกินยาแล้วหลอดเลือดสะอาด แต่หารู้ไม่ว่าเป็นการกลบเกลื่อนหลักฐานของนิสัยบริโภคนิยมที่เหลวไหล เหมือนการกวาดเอาขยะไปซุกอยู่ใต้พรมนั่นเอง

พูดง่ายๆ ว่าไขมันเหล่านั้นย้ายที่อยู่ไปซุกอยู่ในตับ

จึงพบความจริงว่าใครก็ตามกินยาลดไขมันไป 3-5 ปี ขอท้าพิสูจน์ให้ไปตรวจอัลตราซาวด์ตับได้เลย จะพบผู้คนจำนวนมากที่กลายเป็นโรคไขมันพอกตับไปแล้ว

แถมปัจจุบันนี้คนที่กินยาจนคอเลสเตอรอลต่ำมากแล้ว หมอยังไม่ยอมเลิกจ่ายยา แต่บอกผู้ป่วยว่า "คุณต้องกินยาตลอดชีวิต"


เรื่อง ของคอเลสเตอรอลจึงมีเรื่องราวซ่อนเงื่อนทางธุรกิจอยู่มากมาย และผู้บริโภคก็ตกเป็นเหยื่อของการแพทย์พาณิชย์ นี่คือประเด็นที่หนึ่งที่จะชี้ให้เห็นในวันนี้

เขียนโดย นพ.บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล
ขอขอบคุณ http://morsuraphan.com/knowledge/133
เมจิก พี
 
โพสต์: 294
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 พ.ย. 2012, 15:51

Re: เบื่อจุงเบย!!! เจ้าของร้าน+เภสัช โดนเต็มๆ...ดูกันเอาไว้

โพสต์โดย เมจิก พี » 20 มี.ค. 2015, 02:45

------0792.jpg
------0792.jpg (24.67 KiB) เปิดดู 9983 ครั้ง
996309.jpeg
996307.jpeg
996308.jpeg
996311.jpeg
จับร้านยาขายยาต้องห้าม ในกทม
เมื่อวันที่ 19 มี.ค. พ.ต.อ.ทรงโปรด สิริสุขะ ผกก.4 ปคบ. พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.4 บก.ปคบ. เจ้าหน้าที่องค์การอาหารและยา (อย.) ร่วมล่อซื้อยาอัลปราโซแลม จากร้านขายยา2แห่ง ย่านมีนบุรี คือหทัยราษฎร์เภสัชและชุติยาเภสัช 1ใน2ร้านยา มี น.ส.กานต์มณี คำเอก แสดงตัวเป็นเจ้าของร้าน จึงเข้าจับกุม จากการตรวจสอบพบ ยาอัลปราโซแลม 1 กล่อง 270 เม็ด ซึ่งจัดเป็นวัตถุออกฤทธิ์ประเภท 2 ยาโคเดอีน ซึ่งจัดเป็นยาเสพติด (ประเภท 2) และยาชุดซึ่งผิดตามพ.ร.บ.ยา พ.ศ.2510 มาตรา 75 ทวิ โดยยาทั้ง 3 ชนิดดังกล่าว ถือเป็นยาที่ ห้ามมีไว้ในร้านขายยาโดยเด็ดขาด ขณะที่ยาทรามาดอล มีจำหน่ายในร้านขายยาได้ แต่ละร้านมีไว้ได้ไม่เกิน 1,000 เม็ด ต่อเดือน และต้องจำกัดการขาย คือ ไม่เกิน 20 เม็ดต่อคน

นอกจากนี้ยังเจอยาแก้ไอ ที่มีสารไดเฟนไฮดรามีนและสารโปรเมทาซีน ซึ่งถือเป็นยาอันตราย หากร้านขายยาจะมีไว้เพื่อจำหน่ายต้องจัดทำบัญชีในการขาย แต่ทางร้านดังกล่าวไม่ได้ทำบัญชีขออนุญาตแต่อย่างใด เบื้องต้นแจ้งข้อหา จำหน่ายวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท (ประเภท 2) โดยผิดกฎหมาย และมียาเสพติด(ประเภท2) ไว้โดยไม่ได้รับอนุญาต นำตัวส่งพนักงานสอบสวน กก.4 บก.ปคบ. ดำเนินคดีต่อไป.

ขอขอบคุณเดลินิวส์ออนไลน์
เมจิก พี
 
โพสต์: 294
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 พ.ย. 2012, 15:51

Re: เบื่อจุงเบย!!! หายเบื่อเรย ปีนี้คะแนนเข้าเภสัชมากกว่าหมอ

โพสต์โดย เมจิก พี » 13 ก.ค. 2015, 03:45

คะแนนADMISSIONคณะเภสัชประจำปี58ของมหา'ลัยดังๆ
บางมหา'ลัยจะมีคะแนนของคณะทันตะมาให้ดูเพื่อเทียบความต่างของคะแนน2คณะนี้
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
คณะทันตแพทยศาสตร์ 23406.25002/ 22568.7500 0002
คณะเภสัชศาสตร์ สาขาวิชาเภสัชกรรมอุตสาหการ* 24921.2500/ 20738.7500
คณะเภสัชศาสตร์ สาขาวิชาการบริบาลทางเภสัชกรรม* 23001.2500 /20927.5000

มหาวิทยาลัยขอนแก่น
คณะทันตแพทยศาสตร์ 23056.2500/ 22027.5000 0387
คณะเภสัชศาสตร์ 21637.5000 /20173.2000

มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
คณะเภสัชศาสตร์ หลักสูตร 6 ปี 22624.6000 /19910.0000 0574
มหาวิทยาลัยนเรศวร
คณะทันตแพทยศาสตร์ 22092.5000/ 21881.9500
คณะเภสัชศาสตร์ สาขาวิชาบริบาลเภสัชกรรม 20722.8000/ 19515.0000
คณะเภสัชศาสตร์ สาขาวิชาวิทยาศาสตร์เครื่องสำอาง 20231.2500/ 17912.5000

มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
คณะเภสัชศาสตร์ สาขาวิชาการบริบาลทางเภสัชกรรม (หลักสูตร 6 ปี) (ภ.บ.) 20180.0000 /19626.2500
มหาวิทยาลัยมหิดล
คณะทันตแพทยศาสตร์ สาขาวิชาทันตแพทยศาสตร์ 22754.4500 /22520.0000
คณะเภสัชศาสตร์ สาขาวิชาเภสัชศาสตร์ 22285.0000 /20642.5000

มหาวิทยาลัยศิลปากร
คณะเภสัชศาสตร์ 21100.0000 /20470.0000
มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
ทันคณะตแพทยศาสตร์ หาดใหญ่ สาขาวิชาทันตแพทยศาสตร์ 22047.5000 /21877.5000
คณะเภสัชศาสตร์ หาดใหญ่ สาขาวิชาเภสัชกรรมอุตสาหการ 20777.5000 /19183.7500 1814
คณะเภสัชศาสตร์ หาดใหญ่ สาขาวิชาการบริบาลทางเภสัชกรรม 20748.7500 /19800.0000

สรุปว่าคะแนนADMISSIONของคณะเภสัชปีนี้หรือปีก่อนๆก็จะอยู่ประมาณ19Kกว่าถึง22Kกว่า
แต่มีพิเศษหน่อยที่ปีนี้คะแนนADMISSIONของคณะเภสัชจุฬา คะแนนสูงสุดยังสูงกว่าสอบเข้าหมอฟันอีก ไม่รู้ว่าน้องคนนี้จะดีใจหรือเสียดาย แต่เราขอชื่นชมน้องที่ช่วยupคะแนนการสอบเข้าคณะเภสัชให้เหนือกว่าสอบเข้าหมอฟัน(ในอดีตกาลนานมากแล้วประมาณน่าจะปี251..คะแนนสอบเข้าเภสัชเคยมากกว่าสอบเข้าหมอฟัน!!!)55555555555555555555555555555
คณะทันตแพทยศาสตร์ 23406.25002/ 22568.7500 0002
คณะเภสัชศาสตร์ สาขาวิชาเภสัชกรรมอุตสาหการ* 24921.2500/ 20738.7500

ขอบคุณเดลินิวส์ออนไลน์
http://www.dailynews/
http://WWW.DAILYNEWS
เมจิก พี
 
โพสต์: 294
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 พ.ย. 2012, 15:51

Re: เบื่อจุงเบย!!! เภสัชป้ายว่างกับเลิกร้างธุรกิจยา

โพสต์โดย เมจิก พี » 28 ก.ค. 2015, 18:53

แชร์มา
เภสัชป้ายว่างกับเลิกร้างธุรกิจยา

ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน มีร้านขายยาประกาศเซ้งกิจการเยอะมาก ก่อนหน้านี้ก็มีประปราย แต่เภสัชกับมาประกาศหาร้านแขวนป้ายกันพรึ่บ สวนกระแสเลิกกิจการร้านยาของร้านยาเดี่ยว ก่อนหน้านี้ ร้านขายยาหาเภสัชแขวนป้ายยากมาก คงรอดูผลกฎหมายใหม่ เมื่อเห็นว่าตอนนี้ยังไม่มีไรในกอไผ่ เลยประกาศแขวนป้ายกันยกใหญ่ รวมทั้งพวกเภสัชที่มีสิทธิ์สอบหมอ และสอบได้แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ใบประกอบในการทำงานอีกต่อไป จึงเอามาแขวนหาค่าเทอม!!! เพราะถ้าถูกตรวจร้านและไม่พบเภสัช ต้องถูกพักใบอนุญาต ก็ไม่มีผลอะไร เพราะไม่ต้องใช้ใบประกอบแล้ว พอเรียนหมอจบก็สอบใบประกอบวิชาชึพเวชกรรมแทน ส่วนมากจะเป็นเภสัชทางเหนือ เพราะเขาหรือเธอได้โควต้าสอบเข้าหมอกับม.แถวพิษณุโลกมั้ง?????ช่วงนี้ก็จะหาร้านแขวนยากหน่อย สงสัยว่าเจ้าของร้านคงเลิกร้านหาเงินไปเล่นทองกันแล้ว เพราะทองกำลังลง ถ้าใจเย็นค่อยๆทยอยซื้อ คงจะได้เห็นทองราคา12,000-15,000บาท/บาททอง แน่นอน เพราะมันคือราคาที่ควรจะเป็นมาตั้งนานแล้วไม่ใช่ราคาปั่นอย่างที่ผ่านมา พวกหาร้านแขวนก็หากันต่อไป พวกเลิกร้านก็เลิกกันต่อไป ค่อยเป็นค่อยไปนะ ต้อนรับกฎหมายยาใหม่และAEC!!!



ผู้ตั้งกระทู้ ว่ากันไป :: วันที่ลงประกาศ 2015-07-28 17:26:43
เมจิก พี
 
โพสต์: 294
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 พ.ย. 2012, 15:51

Re: เบื่อจุงเบย!!! เจ้าของร้านยาเขาว่าอย่างนี้ ...5555555555

โพสต์โดย เมจิก พี » 10 ส.ค. 2015, 00:20

ก่อนอื่นไปดูที่มาที่ไปกันก่อน คัดลอกมาให้ดูตามนี้เรย

ใบว่าง รับคุมเขต กทม. ชลบุรี พัทยา ระยอง


รับคุมร้านยาเขต กทม. ชลบุรี ระยองครับ

สนใจทิ้งเบอร์ไว้ครับ



ผู้ตั้งกระทู้ Helduzt :: วันที่ลงประกาศ 2015-08-07 12:00:54

แล้วมีผู้มาโพสเหน็บแนม โดยคนโพสใช้ชื่อคนตั้งกระทู้มาแทนชื่อตัวเอง ดังนี้
ความเห็นที่ 1 (3024234)

เภสัชไร้ศักดิ์ศรี อับจนหนทางขนาดต้องแขวนป้ายเลยหรอ น่าสมเพส

ผู้แสดงความคิดเห็น Helduzt วันที่ตอบ 2015-08-09 03:35:51

ที่นี้มาดูเจ้าของร้านยาต้นเรื่อง ไม่ทราบว่าขาใหญ่ขาเล็กรายนี้ ชีว่าของชีอย่างนี้
สนใจค่ะ. ร้านอยู่บ่อวินค่ะ. ไม่ขายยาอันตรายทุกชนิดค่ะ. ติดต่อด่วน 087-36499xx ค่ะ



คุณความเห็นข้างบนคะ. ใบของเค้า. เค้าจะทำอะไรก็เรื่องของเขา. ไม่มีสิทธิ์ไปตัดสินคนอื่น. คุณเป็นเทวดามาจากไหนคะ เค้าจะแขวนใบก็ไม่ได้หนักหัวใครค่ะ

จริงของนางหรือไม่
"ใบของเค้า. เค้าจะทำอะไรก็เรื่องของเขา.".
"เค้าจะแขวนใบก็ไม่ได้หนักหัวใครค่ะ"
นางไม่รู้กฎระเบียบ ข้อบังคับ จรรยาบรรณ ศักดิ์ศรีแห่งวิชาชีพ เพราะชีเป็นคนนอกวิชาชีพ ก็เลยโพสแบบคนที่ไม่รู้ แต่ความจริงเรื่องแบบนี้(การแขวนป้าย)เก่ามากแล้วแต่ยังเป็นเรื่องที่ร่วมสมัยอยู่(contemporary) หาข้อมูลสอบถามกับผู้รู้หรือสภาวิชาชีพได้ว่าเภสัชกับการแขวนป้ายมันเป็นเรื่องของเขา เค้าจะแขวนใบก็ไม่ได้หนักหัวใคร อย่างที่นางว่าหรือไม่ ขอเข้าใจเองคนเดียวว่าเจ้าของร้านยาที่คิดแบบนางและไม่รู้เรื่องกฏระเบียบต่างๆแบบนางน่าจะมีมากกว่า1คน5555555555555555
เมจิก พี
 
โพสต์: 294
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 พ.ย. 2012, 15:51

Re: เบื่อจุงเบย!!! รับเข้าทำงานแต่จำกัดเพศ มีสิทธิ์ติดคุก!!!

โพสต์โดย เมจิก พี » 10 ก.ย. 2015, 02:17

วันที่ 9 กันยายน 2558ถือว่าเป็นวันที่ พ.ร.บ. ความเท่าเทียมระหว่างเพศ หรือชื่อเต็มๆ ว่า พระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. 2558 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป หลังจากที่มีการประกาศเมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2558
เนื้อหาที่น่าสนใจเกี่ยวกับ พรบ. ฉบับนี้มีดังนี้ครับ

มาตรา 3 : “การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ” หมายความว่า การกระทําหรือไม่กระทําการใด อันเป็นการแบ่งแยก กีดกัน หรือจํากัดสิทธิประโยชน์ใด ๆ ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม โดยปราศจาก ความชอบธรรม เพราะเหตุที่บุคคลนั้นเป็นเพศชายหรือเพศหญิง หรือมีการแสดงออกที่แตกต่างจากเพศ โดยกําเนิด
ให้มีคณะกรรมการเรียกว่า “คณะกรรมการวินิจฉัยการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ (วลพ.) ที่รัฐมนตรีแต่งตั้ง ซึ่งบุคคลใดเห็นว่าตนได้รับหรือจะได้รับความเสียหายจากการกระทำในลักษณะที่เป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ และมิใช่เป็นเรื่องที่มีการฟ้องร้องเป็นคดีอยู่ในศาลหรือที่าลพิพากษาหรือมีคำสั่งเด็ดขาดแล้ว ให้มีสิทธิยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการวลพ. เพื่อพิจารณาวินิจฉัยว่ามีการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศหรือไม่ คำวินิจฉัยของ วลพ.ให้เป็นที่สุด
ในกรณีที่คณะกรรมการ วลพ.วินิจฉัยว่าเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ วลพ.มีอำนาจให้หน่วยงานของรัฐ องค์กรเอกชน หรือบุคคลที่เกี่ยว ข้อง ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ด้วยวิธีใดที่เห็นเหมาะสม เพื่อระงับและป้องกันมิให้มีการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ (มาตรา 20 วรรคหนึ่ง)
กฎหมายยังให้อำนาจคณะกรรมการ วลพ. อนุกรรมการ หรือพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งคณะกรรมการ วลพ.มอบหมาย สามารถเข้าไปในเคหสถานหรือสถานที่ใด เพื่อรวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องโดยมีหมายค้นเว้นแต่หากเนิ่นช้าไปกว่าจะขอหมาย จะทำให้พยานหลักฐานนั้นถูกยักย้ายหรือทำลาย, มีหนังสือสอบถาม หรือเรียกบุคคลมาให้ถ้อยคำ หรือให้ส่งสิ่งของหรือเอกสารที่เกี่ยวข้องมาประกอบการพิจารณา (มาตรา 22 วรรคสอง)
มาตรา 18: บุคคลใดเห็นว่าตนได้รับหรือจะได้รับความเสียหายจากการกระทําในลักษณะ
ที่เป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ และมิใช่เป็นเรื่องที่มีการฟ้องร้องเป็นคดีอยู่ในศาล
หรือที่ศาลพิพากษาหรือมีคําสั่งเด็ดขาดแล้ว ให้มีสิทธิยื่นคําร้องต่อคณะกรรมการ วลพ. เพื่อพิจารณา
วินิจฉัยว่ามีการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศหรือไม่ คําวินิจฉัยของคณะกรรมการ วลพ. ให้เป็นที่สุด
ทั้งนี้ หลักเกณฑ์และวิธีการในการยื่นคําร้อง การพิจารณา และการวินิจฉัยให้เป็นไปตามระเบียบที่รัฐมนตรี
กําหนดโดยคําแนะนําของคณะกรรมการ สทพ.
การร้องขอตามวรรคหนึ่ง ไม่เป็นการตัดสิทธิผู้ร้องในอันที่จะฟ้องเรียกค่าเสียหายฐานละเมิดต่อศาล
ที่มีเขตอํานาจ โดยให้ศาลมีอํานาจกําหนดค่าเสียหายอย่างอื่นอันมิใช่ตัวเงินให้แก่บุคคลซึ่งถูกเลือกปฏิบัติ
โดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศได้ และหากการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศนั้นเป็นการกระทํา
โดยจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ศาลจะกําหนดค่าเสียหายในเชิงลงโทษให้แก่บุคคลซึ่งถูกเลือกปฏิบัติ
โดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศไม่เกินสี่เท่าของค่าเสียหายที่แท้จริงด้วยก็ได้
บทกำหนดโทษ ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของคณะกรรมการ วลพ. ตามมาตรา 20 (1) ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ, ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา 22 วรรคสอง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
ดาวน์โหลด พระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. 2558 (ไฟล์สกุล .pdf)

ดาวน์โหลด พ.ร.บ. ความเท่าเทียมระหว่างเพศ  >> http://www.gender.go.th/plan/pdf/p0001.pdf
พวกนายจ้างหรือหน่วยงานทั้งหลาย ที่ชอบจำกัดเพศ ก็ระวังตัวกันไว้ให้ดีๆ หากมีการร้องเรียน ก็ต้องถูกตรวจสอบโดย“คณะกรรมการวินิจฉัยการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ (วลพ.) ที่รัฐมนตรีแต่งตั้ง ส่วนบุคคลใดเห็นว่าตนได้รับหรือจะได้รับความเสียหายจากการกระทำในลักษณะที่เป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ และมิใช่เป็นเรื่องที่มีการฟ้องร้องเป็นคดีอยู่ในศาลหรือที่ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งเด็ดขาดแล้ว ให้มีสิทธิยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการวลพ. เพื่อพิจารณาวินิจฉัยว่ามีการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศหรือไม่ คำวินิจฉัยของ วลพ.ให้เป็นที่สุด
ดังนั้นถ้าพวกนายจ้างหรือหน่วยงานที่ยังยืนกรานจุดยืนเดิม คือชั้นต้องเลือกรับบุคคลเฉพาะเพศนั้นเพศนี้เข้าทำงาน หากมีการร้องเรียน ก็ต้องเสียเวลา เสียพลังงาน เสียเงิน ในการเตรียมการเพื่อชี้แจงต่อ วลพ. และหากคดีมีมูล ตัวนายจ้างหรือหน่วยงาน ก็ต้องรับผลแห่งกรรมของพวกท่านไป พรบ.นี้ครอบคลุมการกีดกันทางเพศในอีกหลายๆเรื่อง เช่นการโยกย้ายตำแหน่งที่จำกัดเฉพาะเพศนั้น เพศนี้ เป็นต้น

ถ้าพวกนายจ้างหรือหน่วยงานไม่อยากหาเรื่องใส่ตัว คงคิดกันได้นะว่าจะต้องทำอะไรยังไงกับชีวิตตัวเองและหน่วยงาน แต่อย่างที่บอก ถ้าท่านมีความพร้อมในการที่จะุถูกตรวจสอบเป็นหมูไม่กลัวน้ำร้อน ก็แล้วแต่ท่านนะ เอาที่สบายใจแล้วกัน!!!
เมจิก พี
 
โพสต์: 294
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 พ.ย. 2012, 15:51

Re: เบื่อจุงเบย!!! อนาคตราชการของ ลูกจ้างและพนักงานของรัฐ!!

โพสต์โดย เมจิก พี » 01 ต.ค. 2015, 02:51

:smile: :smile: :smile:
แก้ไขล่าสุดโดย เมจิก พี เมื่อ 01 ต.ค. 2015, 03:08, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
เมจิก พี
 
โพสต์: 294
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 พ.ย. 2012, 15:51

Re: เบื่อจุงเบย!!! อนาคตราชการของ ลูกจ้างและพนักงานของรัฐ!!

โพสต์โดย เมจิก พี » 01 ต.ค. 2015, 03:06

เมื่อวันที่ 30 ก.ย. ครม.เห็นชอบการเพิ่มอัตราข้าราชการที่ตั้งใหม่ให้กับส่วนราชการในปีงบประมาณ 2558 ตามที่คณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังพลภาครัฐ(คปร.)เสนอ จำนวน 13,280 อัตรา
กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งขอมามากที่สุด 9,863 อัตรา และได้รับการอนุมัติทั้งหมด โดยทั้งหมดเป็นอัตราการบรรจุพยาบาล บุคลากรด้านสาธารณสุขที่จะให้บริการด้านสุขภาพต่อประชาชน ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญและจำเป็น
อย่างไรก็ตามนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ได้ชี้แจงว่ากระทรวงสาธารณสุขเป็นหน่วยงานเดียวที่ไม่ได้ใช้งบประมาณแผ่นดินทั้งหมดในการบริหารงาน เนื่องจากสามารถมีรายได้เป็นของตัวเองในบางส่วน เช่น งบประมาณส่วนหนึ่งที่ได้จากการรักษาพยาบาล จึงสามารถใช้งบประมาณจำนวนหนึ่ง จ้างบุคลากรทางการแพทย์ และพยาบาลได้เอง ทั้งนี้ข้าราชการหนึ่งคนต้องใช้งบประมาณถึง 25 ล้านบาท การเพิ่มข้าราชการจำนวนมาก โดยการแปรสภาพจากลูกจ้าง พนักงาน เป็นข้าราชการนั้น ขอให้ทุกส่วนราชการได้พึงสังวร และพยายามป้องกันไม่ให้เกิดลักษณะอย่างในอดีตขึ้นอีก แต่ถ้ามีความจำเป็นที่จะต้องขอบรรจุข้าราชการปีหนึ่ง 200-300 อัตรา ก็ว่ากันไปเป็นปี ๆ แต่ไม่ต้องการให้มีลักษณะอย่างที่กล่าวมาข้างต้นขึ้นอีก เพราะไม่ต้องการให้เกิดผลกระทบต่อประเทศในภาพรวม
ถ้าเป็นอย่างที่ท่านวิษณุ เครืองาม บอกไว้ หลังจากนี้ โรงพยาบาลใช้ งบประมาณส่วนหนึ่งที่ได้จากการรักษาพยาบาล จ้างบุคลากรทางการแพทย์ และพยาบาลได้เอง แต่บุคคลากรเหล่านั้นคงจะไม่ได้บรรจุเป็นข้าราชการในอนาคตอย่างที่ผ่านมา แต่น่าจะต้องมาเข้าขบวนการบรรจุเป็นข้าราชการตามปรกติเหมือนหน่วยงานอื่นๆต่อไปและคงต้องจำกัดอัตราการรับด้วย
ขอขอบคุณเดลินิวส์ออนไลน์
เมจิก พี
 
โพสต์: 294
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 พ.ย. 2012, 15:51

Re: เบื่อจุงเบย!!! ร้านขายยา ทยอยปิดตัวเป็นแถวที่เหลือใกล้เจ

โพสต์โดย เมจิก พี » 13 ม.ค. 2016, 07:12

ร้านขายยา ทยอยปิดตัวเป็นแถวที่เหลือใกล้เจ๊ง รับAEC

ใครที่ติดตามเวบหางานต่างๆ คงจะเห็นเหมือนๆกัน คือการประกาศเซ้งร้านด้วยสารพัดเหตุผลที่ขุดขึ้นมาแจกแจงสร้างภาพเนียนตาเพื่อให้ผู้ประกาศเซ้งดูดี ส่วนที่ยังดำเนินกิจการต่อก็คงเตรียมเก็บกระเป๋าเอาของลงลังกันอีกหลายราย นี่ยังไม่ต้องพูดถึงกฎระเบียบใหม่ของอย.ที่ได้ประกาศไปแล้วตั้งแต่กลางปี57 เพื่อยกระดับมาตรฐานร้านเข้าสู่ความเป็นสากลที่ชาวโลกเขามีกันมาตั้งแต่คุณทวดยังเด็ก แต่ของเรากำลังจะนับ1 ไม่เป็นไร มีช้าดีกว่าไม่มี และแน่นอนค่าใช้จ่ายต่างๆของร้านต้องเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า แค่เรื่องพื้นๆ คือการมีเภสัชระจำร้าน อันนี้แทบจะเลิกคิดกันได้เลย ก็แค่ค่าใบประกอบฯยังเหนียวหนึบค่าใบฯซะขนาดนั้น ขอให้ค่าใบฯแค่5-6พัน ก็กล้ำกลืนฝืนใจตัดกำไรมาจ่ายให้อย่างสุดแสนจะเสียดายในสิ่งที่คิดว่าไม่ควรจะเสีย จนลืมคิดว่าปัจจุบันทองบาทละ4-8000บาทมันไม่มีใครขายแล้วนะเจ๊กะเฮีย ก็ทองยังบาทละเฉียด2หมื่น ค่าใบฯ ยังจะมาหาที่5-6พันอีกเหรอ เดี๋ยวนี้ก็เฉียดหมื่นหรือหมื่นกว่าไปแล้วทั้งนั้น นะเจ๊กะเฮีย

เรื่องให้มีเภสัชเต็มเวลาอยู่ประจำร้าน ตามกฎหมายทั้งเก่าทั้งใหม่ หาUFO.ง่ายกว่าไหม ตอนนี้เขาคุยโทรศัพท์กับมนุษย์ต่างดาวได้แล้วนะตัวเอง

แน่นอนถ้าอย.หรือสสจ.จัดเข้มกว่านี้ ไม่ต้องรออีก8ปีตามกฎหมายใหม่ คงมีเทศกาลร้านเจ๊งอีกหนักมาก


ตายจริง!!! นี่พวกAECมาเลย์ สิงคโปร์ บรูไน ยังไม่ได้ตั้งการ์ดเลย หลายๆร้านก็ทยอยเก็บฉากเก็บจอไปซะแล้ว แต่ก็ดี หลายๆร้านคงชอบ พวกแกเข้ามาเยอะๆหน่อย เจ๊ กะเฮีย กะซ้อ รอเซ้งร้านให้อยู่ งานนี้คงได้ราคา เพราะพวกนี้เงินเหรียญใหญ่กว่าเงินบาททั้งน้าน5555555555555555555555
เมจิก พี
 
โพสต์: 294
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 พ.ย. 2012, 15:51

Re: เบื่อจุงเบย!!! คนรับสมัครงาน มักยกตัวเองว่า"เป็นพี่"

โพสต์โดย เมจิก พี » 02 ก.พ. 2016, 00:40

คนรับสมัครงาน มักยกตัวเองว่า"เป็นพี่"
คงจะเป็นวัฒนธรรม(หรือเพราะเป็นเจ้าของเงิน???) มีเภสัชที่รู้จักกันไปสมัครงานปรากฎว่าอาวุโสมากกว่าคนรับสมัคร คนรับสมัครก็เงิบสิ เภสัชคนนั้นก็ลำบากใจ แต่ก็รีบเปลี่ยนความสนใจไปคุยเรื่องสมัครงาน
ไม่เห็นจำเป็นต้องยกตัวเองว่า"เป็นพี่"เลย จะได้ไม่หน้าแตกเล็กๆโดยไม่จำเป็น(เป็นห่วงความรู้สึกคนรับสมัครไม่อยากให้หน้าแตก บางคนบอกว่าไม่ได้รู้สึกอะไรที่ตัวเองบอกว่าเป็นพี่คนที่อาวุโสกว่า ก็แล้วแต่นะ เอาที่สบายใจแล้วกัน)
การยกตัวเองว่า"เป็นพี่"อาจจะกำลังสื่อให้รู้ว่าต้องการผู้ร่วมงานเป็นรุ่นน้อง คนรุ่นพี่กว่า ก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำงานไม่ได้เพราะแก่ ไม่เกี่ยวกันเลย หรือจะทำงานร่วมกับรุ่นน้องไม่ได้ เขาห้ามเภสัชอาวุโสทำงานเป็นลูกจ้างคนรุ่นน้องเหรอ เภสัชอาวุโสต้องเป็นเจ้าของกิจการหรือต้องเป็นใหญ่เป็นโตทุกคนอย่างนั้นเหรอ
คนรับสมัครบางคนบอกว่าที่ไม่รับคนแก่เพราะกลัวมีปัญหาสุขภาพ ไม่รู้ว่าคนรับสมัคร แกล้งโง่หรือรังเกียจ หรือเกรงใจหรือลำบากใจที่จะทำงานกับเภสัชที่อาวุโสกว่า เพราะว่าถ้ากลัวปัญหาด้านสุขภาพก็ขอให้คนสมัครแนบใบรับรองแพทย์มาด้วยก็เรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องกังวลไปเอง
เมื่อวันอาทิตย์ที่31มกรา ไปกับเภสัชอาวุโสเพื่อประชุมวิชาการเก็บหน่วยกิต ที่โรงแรมแถวพระราม9เห็นมีแต่เภสัชอาวุโสมาประชุมกันมากกว่าเภสัชรุนน้อง แสดงว่าเภสัชอาวุโสนอกจากมีประสบการณ์มากแล้วยังขยันอีกด้วย
เมจิก พี
 
โพสต์: 294
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 พ.ย. 2012, 15:51

ย้อนกลับต่อไป

ย้อนกลับไปยัง โรบัสต้า

ผู้ใช้งานขณะนี้

New Document