ให้คนไข้เลือกซื้อ-ไม่ซื้อ พบแพงกว่าปกติ"62%" ฝ่าฝืนคุก 7 ปีปรับ 1.4 แสน
"คน."เล็งคุมเข้ม"รพ.เอกชน"ติดป้ายแจงราคายา ชง กก.พิจารณาราคากลาง มิ.ย. ลดปัญหาคนไข้ถูกเอาเปรียบ-ให้คนไข้เลือกจะรับรักษาหรือไม่ หลังพบ รพ.บางแห่งโก่งค่ายาสูงกว่าครึ่ง "สธ."อ้างมีกฎหมายสถานพยาบาลคุมราคายา-ค่ารักษาอยู่แล้ว
เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน นางวัชรี วิมุกตายน รองอธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะอนุกรรมการพิจารณาราคายาแผนปัจจุบัน ภายใต้คณะกรรมการกำกับราคา (กกร.) กลางเดือนมิถุนายนนี้ จะมีการหารือในประเด็นการเข้มงวดให้โรงพยาบาลเอกชนและสถานพยาบาลเอกชนทำรายการแจ้งค่ารักษาพยาบาล ค่าบริการ และค่ายาให้ชัดเจน เพื่อใช้เป็นข้อมูลให้ผู้บริโภคตัดสินใจว่าจะรับบริการหรือไม่ รวมถึงการหารือมาตรการดูแลไม่ให้โรงพยาบาลเอกชนคิดราคายาสูงกว่าท้องตลาด เนื่องจากได้รับการร้องเรียนจากผู้บริโภคจำนวนมาก ว่าโรงพยาบาลเอกชนและสถานพยาบาลเอกชนหลายแห่งคิดค่ารักษาพยาบาล และค่ายาสูงเกินความจริง เพราะได้รวมเอาค่าบริการแฝงต่างๆ เข้าไปในราคายาด้วย
นางวัชรีกล่าวว่า พร้อมกันนี้จะหารือถึงสถานการณ์ราคายาที่จำเป็นต่อการรักษา ทั้งจากนำเข้าจากต่างประเทศและผลิตในประเทศ ว่าเป็นราคาที่เหมาะสมกับต้นทุนที่แท้จริงหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ยานำเข้าจากต่างประเทศที่มีราคาสูงจะพิจารณาว่าเป็นราคาที่กำหนดจากบริษัทแม่ โดยอ้างต้นทุนสูงจากค่าใช้จ่าย เช่น ค่าสิทธิบัตร ค่าวิจัยและพัฒนา เป็นต้น หรือบริษัทนำเข้าผลักภาระต้นทุน ที่คิดจากค่าใช้จ่ายด้านอื่นๆ มายังผู้บริโภคนั้นกระทรวงสาธารณสุขดูแลอยู่แล้ว
"เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมต่อผู้บริโภค การกำหนดราคายาจะต้องเหมาะสมกับต้นทุนที่แท้จริง ได้ให้กระทรวงสาธารณสุขเปิดเผยข้อมูลยา เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับรู้ด้วย รวมถึงเน้นให้โรงพยาบาลเอกชนทำตามข้อตกลงที่มีก่อนหน้านี้ ที่กำหนดให้ติดป้ายแสดงราคา แต่ถ้าโรงพยาบาลเอกชนไม่ทำตามจะใช้กฎหมายว่าด้วยราคาสินค้าและบริการควบคุม ไม่ให้จำหน่ายราคาสูงเกินจริง โดยมีโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี ปรับไม่เกิน 140,000บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ" นางวัชรีกล่าว
รายงานแจ้งว่า กรณีหนึ่งที่ได้รับการร้องเรียน คือการที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง คิดราคายาที่เข้ารักษาสูงกว่าราคาตลาดทั่วไป โดยอ้างต้นทุนสูงกว่าและถูกกำหนดจากบริษัทเจ้าของสิทธิ เช่น ราคาข้างกล่องระบุ 800 บาท แต่โรงพยาบาลเก็บเงินราคากล่องละ 1,300 บาท หรือสูงกว่าราคาข้างกล่องเกือบร้อยละ 62 เป็นต้น
นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงศ์ ผู้อำนวยการกองการประกอบโรคศิลปะ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข ในฐานะหน่วยงานที่กำกับดูแลโรงพยาบาลและสถานพยาบาลเอกชน กล่าวถึงการเข้มงวดให้โรงพยาบาลเอกชนและสถานพยาบาลเอกชนทำรายการแจ้งค่ารักษาพยาบาล ค่าบริการ และค่ายาให้ชัดเจน เพื่อใช้เป็นข้อมูลให้ผู้บริโภคตัดสินใจว่าจะรับบริการหรือไม่ว่า กระทรวงสาธารณสุขมี พ.ร.บ.สถานพยาบาล พ.ศ.2541 ควบคุมอยู่แล้ว โดยกำหนดให้สถานพยาบาลเอกชนต้องจัดทำบัญชีรายการค่ายา และค่ารักษาพยาบาลให้ประชาชนได้ตรวจสอบทั้งก่อนและหลังการเข้ารับการรักษาพยาบาลได้ตลอดเวลา ซึ่งส่วนใหญ่โรงพยาบาลเอกชนจะจัดทำรายการไว้ในแฟ้ม หรือฐานข้อมูลคอมพิวเตอร์
"ประชาชนสามารถตรวจสอบข้อมูลนี้ได้ เช่น หากไปรับการรักษาแล้วแพทย์สั่งจ่ายยาที่มีราคาแพง ผู้ป่วยก็มีสิทธิที่จะไม่รับยาที่แพทย์สั่งให้ได้ หรือเมื่อรับยามาแล้ว เห็นว่าราคาแพงเกินไป ก็ขอตรวจสอบกลับกับทางสถานพยาบาลได้" นพ.ธเรศกล่าว และว่า หากมีปัญหาก็ร้องเรียนไปที่กองการประกอบโรคศิลปะ กระทรวงสาธารณสุข หรือสำนักงานสาธารณสุข (สสจ.) ทั่วประเทศได้ อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมามีเรื่องร้องเรียนราคายา และการรักษาพยาบาลมาที่กระทรวงสาธารณสุขบ้าง แต่ไม่มาก เมื่อเทียบกับสถิติการเข้ารับการรักษาของคนทั่วประเทศที่มีนับล้านๆ ครั้ง
นพ.ธเรศกล่าวว่า การจะให้โรงพยาบาลเอกชนติดป้ายราคายา และค่าบริการรักษาพยาบาลต้องดูว่ากรมการค้าภายในจะเข้มงวดมากน้อยแค่ไหน แต่โดยส่วนตัวแล้วเห็นว่าหากจะให้สถานพยาบาลเอกชนติดป้ายราคายาที่มีในโรงพยาบาลทุกตัวจะเป็นไปได้ยากในทางปฎิบัติ เนื่องจากโรงพยาบาลบางแห่งมียาที่จะจ่ายให้คนไข้กว่า 10,000 รายการ จึงต้องหารือกันระหว่างกระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงพาณิชย์ว่าจะทำได้มากน้อยแค่ไหน ยาเป็นสินค้าที่แตกต่างจากสินค้าทั่วไป เพราะแพทย์จะเป็นวินิจฉัยว่าผู้ป่วยควรได้รับยาชนิดใด ซึ่งตามระบบในโรงพยาบาลแพทย์จะถามผู้ป่วยก่อนเสมอหากจำเป็นต้องจ่ายยาราคาแพงให้ และโรงพยาบาลเอกชนส่วนใหญ่ก็จะแจ้งค่ารักษาพยาบาลให้ผู้มารับการรักษาทราบก่อนทุกครั้ง เพื่อให้ผู้ป่วยตัดสินใจ
นพ.ธเรศกล่าวว่า ส่วนราคายาของโรงพยาบาลเอกชนแตกต่างกับยาที่ขายในคลีนิค หรือร้ายขายยา เล็กน้อยนั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ เพราะแม้ต้นทุนราคายาที่มีจากบริษัทยาแต่ละแห่งอาจจะไม่แตกต่างกันมากนัก แต่ต้นทุนการบริหารจัดการยา เพื่อให้ลงไปถึงมือผู้ป่วยนั้นแตกต่างกันโรงพยาบาลเอกชนจะมีต้นทุนสูงกว่า เพราะต้องจ้างเภสัชกร มีการสต๊อคยา ในขณะที่หากเป็นคลีนิค หรือร้านขายยาจะขายยาชนิดเดียวกันได้ในราคาที่ถูกกว่า
...