หวั่น 'อีโบลา' ระบาดในเที่ยวบินนานาชาติ หลังผู้ป่วยที่เสียชีวิตถูกระบุว่าอยู่ในเส้นทางกลับบ้านที่สหรัฐ ขณะที่หน่วยงานด้านการแพทย์ในยุโรปตื่นตัวรับมือไวรัสมรณะ
30 ก.ค.57 หนังสือพิมพ์เดลี เทเลกราฟ ฉบับออนไลน์ รายงานว่า แพ็ททริค ซอว์เยอร์ ชาวอเมริกันเชื้อสายไลบีเรีย วัย 40 ปี และเป็นผู้ติดเชื้อไวรัสอีโบลาที่เสียชีวิตเมื่อวันศุกร์ ได้สร้างความวิตกไปทั่วโลก ว่า เขาอาจนำเชื้อไวรัสมรณะไปแพร่ในสหรัฐ แต่เขาเสียชีวิตก่อนขณะอยู่ที่ไนจีเรีย ระหว่างการเดินทางกลับไปหาครอบครัวในรัฐมินนีโซต้า ของสหรัฐ
ได้มีการเปิดเผยว่า ซอว์เยอร์ได้รับอนุญาตให้เดินทางโดยเที่ยวบินระหว่างประเทศ เพื่อกลับไปบ้านที่สหรัฐ โดยเขาทำงานให้รัฐบาลไลบีเรีย และกำลังไปเยี่ยมน้องสาว ตอนที่เริ่มมีอาการป่วย ขณะโดยสารเครื่องบินของไนจีเรีย เขาถูกส่งไปกักโรคทันทีตอนที่เดินทางถึงสนามบินลากอส ของไนจีเรีย ก่อนจะเสียชีวิตเมื่อวันศุกร์
ไลบีเรีย กำลังเผชิญการระบาดอย่างหนักของไวรัสอีโบลา และมีชาวอเมริกันที่เข้าทำงานช่วยเหลือผู้ป่วย ต้องติดเชื้อเองไปแล้ว 2 คน ดีคอนที ภรรยาวัย 34 ปีของซอว์เยอร์ กล่าวว่า สามีของเธอมีกำหนดจะเดินทางไปสหรัฐ ซึ่งถ้าไปถึงเขาจะกลายเป็นผู้ติดเชื้ออีโบลาคนแรกที่เอาเชื้อเข้าไปแพร่ในสหรัฐ ผู้เชี่ยวชาญ เชื่อว่า ซอว์เยอร์ติดเชื้อจากน้องสาว ที่เขาไปดูแลโดยไม่ทราบว่าเธอติดเชื้ออีโบลา จนกระทั่้งเธอเสียชีวิต หลังจากนั้นเขาได้ขึ้นเครื่องบินจากกรุงมอนโรเวียของไลบีเรีย ไปยังกรุงโลเม่ ของโตโก และขึ้นเครื่องบินต่อไปยังเมืองลากอส ของไนจีเรีย ซึ่งเขาไปหมดสติตอนที่ไปถึงสนามบิน
ทางการไนจีเรีย ได้ปิดโรงพยาบาล เฟิร์สต์ คอนซัลแทนต์ ในเมืองโอบาเลนเด้ ที่เขาเข้ารับการรักษา เนื่องจากที่ตั้งโรงพยาบาล ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่คับคั่งที่สุดของเมือง ที่มีประชากรราว 21 ล้านคน ส่วนข้อมูลเกี่ยวกับผู้โดยสารที่ร่วมเที่ยวบินเดียวกับซอว์เยอร์ ยังไม่ได้รับการเปิดเผย มีรายงานว่า ผู้โดยสารในเที่ยวบินเดียวกับเขาได้รับการแจ้งเตือนเกี่ยวกับอาการของโรค ที่รวมถึงการมีเลือดออกที่จมูกและปาก แต่ก็ได้รับอนุญาตให้เดินทางต่อไปได้
การที่เชื้ออีโบลา มีระยะเวลาในการฟักตัว 21 วัน ทำให้เกิดความวิตกว่า อาจมีคนที่ติดเชื้อและกลายเป็นผู้แพร่เชื้อให้ระบาดมากขึ้น นอกจากนี้ ยังไม่อาจแน่ใจได้ว่า ซอว์เยอร์ได้ติดต่อกับผู้คนมากน้อยเพียงใด ในวันที่เขาอยู่บนเที่ยวบินในไลบีเรีย และการแวะที่กาน่า เพื่อต่อเครื่องบินไปยังโตโก ก่อนจะไปถึงไนจีเรีย
เจ้าหน้าที่ด้านสาธารณสุข กำลังพยายามติดตามคนที่อาจเสี่ยงติดเชื้อจากซอว์เยอร์ทั่วแอฟริกาตะวันตก รวมทั้งผู้โดยสารและพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน เจ้าหน้าที่สาธารณสุข ได้ตั้งคำถามว่า ซอว์เยอร์ ซึ่งน้องสาวเสียชีวิตเพราะติดเชื้ออีโบล่า ได้รับอนุญาตให้ขึ้นเครื่องบินออกจากไลบีเรียได้อย่างไร และถ้าเลวร้ายกว่านั้น ไวรัสอีโบลา อาจกลายเป็นโรคร้ายล่าสุดที่แพร่ระบาดโดยการเดินทางระหว่างประเทศได้
การเสียชีวิตของซอว์เยอร์ ได้นำไปสู่การคัดกรองที่เข้มข้นขึ้น สำหรับผู้โดยสารในแอฟริกาตะวันตกหลังไวรัสมรณะคร่าชีวิตผู้ติดเชื้อแล้วกว่า 670 คน ในกินี, เซียร่า เลโอน และไลบีเรีย ซึ่งเจ้าหน้าที่ด้านสาธารณสุข แนะนำว่า หนทางที่ดีที่สุดก็คือ ไม่ควรจะเดินทางเมื่อป่วย แต่ปัญหาก็คือ คนไม่ยอมรับว่าตัวเองป่วย และมักจะโกหก ดังนั้นสิ่งสำคัญสำหรับนานาประเทศ คือ การเตรียมพร้อมรับผู้ป่วยที่ติดเชื้อ ที่จะต้องถูกแยกตางหาก และต้องมีคำแนะนำสำหรับสมาชิกในครอบครัวและเจ้าหน้าที่สาธารณสุขด้วย
หน่วยงานด้านการแพทย์ยุโรปตื่นตัวรับการระบาด 'อีโบลา'
หน่วยงานด้านการแพทย์ทั่วยุโรป ต่างเตรียมพร้อมในระดับสูงเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่จะเกิดการระบาดของไวรัสอีโบลา ท่ามกลางรายงานข่าวที่ว่า โรงพยาบาลในเยอรมนี ได้ยอมรับผู้ป่วยที่ติดเชื้อไว้ทำการรักษา 1 คน ตามคำร้องขอเป็นกรณีพิเศษจากองค์การอนามัยโลก หรือ WHO ขณะที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อในแอฟริกาตะวันตก พุ่งเกินกว่า 670 คนแล้ว และแพทย์กำลังพยายามยับยั้งการแพร่ระบาดของไวรัสที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดในประวัติศาสตร์
ในขณะที่มีการคาดการกันว่า ผู้ป่วยที่รักษาตัวอยู่ที่เยอรมนี อาจเป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญไวรัสอีโบลาระดับแถวหน้าของโลกนั้น คณะแพทย์ในเยอรมนี ได้ยืนยัน ไม่มีความเสี่ยงที่เขาจะเป็นผู้แพร่เชื้อแต่อย่างใด โดยเขาได้รับการรักษาที่หอผู้ป่วยแยกพิเศษ ที่มีการปิดล็อคอากาศถึง 3 ชั้น และอากาศภายในหอผู้ป่วยก็จะมีแรงดันต่ำกว่าภายนอก และไม่สามารถเล็ดรอดออกไปได้ แม้ว่าจะเชื้อไวรัสอีโบล่าจะไม่สามารถติดต่อได้ทางอากาศก็ตาม
แพทย์และพยาบาลที่ต้องติดต่อกับผู้ป่วย ต้องสวมชุดป้องกันเต็มที่ ติดอุปกรณ์ให้อ็อกซิเจน ในตัว และต้องเปลี่ยนชุดทุก 3 ชั่วโมง ก่อนที่ชุดจะถูกนำไปเผาทิ้ง การเตรียมการป้องกันในระดับสูงสุด ได้บ่งชี้ให้เห็นระดับถึงความวิตกต่อไวรัสอีโบลา ที่สามารถแพร่กระจายโดยการสัมผัสโดยตรงของเลือด หรือ ของเหลวในร่างกาย รวมทั้งเหงื่อและน้ำลาย ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยมีอาการเลือดออกภายในอย่างรุนแรง และมีโอกาสเสียชีวิตถึง 90 เปอร์เซ็นต์
ไม่มีรายงานที่ชัดเจนว่า ผู้ป่วยเข้ารับการรักษาที่เยอรมนีได้อย่างไร ขณะที่มีรายงานว่า เขาป่วยเกินกว่าจะเดินทางได้ และไม่มีการเปิดเผยชื่อของเขา แต่ยืนยันว่า เป็นชาวเซียร่า เลโอนท่ามกลางความคาดหมายว่าเขาอาจะเป็นนายแพทย์ ชี้ค อูมาร์ ข่าน ผู้เชี่ยวชาญด้านไวรัสอีโบลา ที่ติดเชื้อเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเขาเป็นที่รู้จักว่าเป็นหนึ่งในคณะแพทย์ ที่ต่อสู้กับการระบาดของไวรัสอีโบลา ในแอฟริกาตะวันตก และต้องกลายเป็นผู้ติดเชื้อเอง และเพิ่งมีรายงานล่าสุดว่า เขาเสียชีวิตแล้ว
ด้านผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ของอังกฤษ ก็เตือนให้บรรดาแพทย์จับตาสัญญาณที่บ่งชี้ว่ามีการระบาดของไวรัสในสหราชอาณาจักร หลังจากมีชาวอเมริกันเชื่อสายไลบีเรีย ได้รับอนุญาตให้เดินทางโดยเที่ยวบินระหว่างประเทศ หลังจากติดเชื้อและเริ่มมีอาการป่วย เช่น อาเจียนและท้องร่วง และที่สำคัญคือ สถานการณ์การระบาดของไวรัสยังไม่สามารถควบคุมได้ ผู้เชี่ยวชาญ บอกด้วยว่า เขาอาจแพร่เชื้อสู่คนที่นั่งใกล้กับเขา หรือใช้ห้องน้ำห้องเดียวกัน บนเครื่องบิน ทำให้ต้องพยายามติดตามหาผู้โดยสารเหล่านี้
เมื่อวันอังคาร สายการบินเอ-สกาย แอร์ไลน์ส ที่ผู้ป่วยใช้บริการ ระบุว่า ได้ระงับเที่ยวบินไปยังกรุงมอนโรเวีย ของไลบีเรีย และเมืองฟรีทาวน์ ของเซียร่า เลโอนแล้ว ขณะที่องค์การอนามัยโลกกำลังพิจารณาให้ปิดพรมแดนเข้าสู่ประเทศที่มีการแพร่ระบาดของโลก
อีโบลา ถูกพบครั้งแรก เมื่อปี 2519 โดยเป็นการระบาดพร้อมกันที่เมืองเอ็นซาร่า ในซูดานและเมืองยัมบูกู ในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก และถูกตั้งชื่อตามชื่อแม่น้ำอีโบลา โดยเชื่อว่าติดต่อสู่ประชากรมนุษย์ ผ่านทางการสัมผัสใกล้ชิดกับเหงื่อ เลือด สารคัดหลั่้ง อวัยวะ หรือ ของเหลวในร่างกายอื่น ๆ จากสัตว์ที่ติดเชื้อ เช่น ลิงชิมแปนซี กอลิลล่า ค้างคาวผลไม้ ลิงละมั่งป่า และเม่น หลังจากนั้น ไวรัสได้แพร่ระบาดโดยตรงจากมนุษย์สู่มนุษย์ ซึ่งผู้ป่วยจะมีอาการไข้ ปวดกล้ามเนื้อ เจ็บคอ อาเจียน ท้องร่วง เลือดออกทั้งภายในและภายนอกร่างกายโดยมีระยะเวลาราว 21 วัน
http://www.komchadluek.net/detail/20140730/189195.html