โดย kiatisak » 07 มี.ค. 2017, 17:23
องค์การอนามัยโลก ได้กำหนดให้ฝุ่นอนุภาคในอากาศนั้นเป็นสารก่อมะเร็งประเภทหนึ่ง เป็นมลพิษที่อันตรายทางอากาศ เพราะมันสามารถเข้าไปในปอดและกระแสเลือดได้ง่ายโดยไม่สามารถกรองได้ ส่งผลทำให้รหัสพันธุกรรมหรือดีเอ็นเอกลายพันธุ์ เพิ่มความเสี่ยงทำให้เกิดโรคหัวใจ และเสียชีวิตก่อนวัยอันควรได้
จากหลักฐานในวารสารทางการแพทย์ The Lancet Oncology ได้รายงานเผยแพร่งานวิจัยเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ.2556 โดย Ole Rasschou-Nielsen และคณะวิจัย ได้ศึกษาจำนวนประชากรที่เกี่ยวข้อง 312,944 คน จาก 9 ประเทศในยุโรป พบว่าระดับของละอองฝุ่นขนาด 10 ไมครอน ที่เพิ่มขึ้นทุกๆ 10 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร จะทำให้อัตราความเสี่ยงโรคมะเร็งปอดเพิ่มสูงขึ้น 22.2% ในขณะที่ละอองฝุ่นที่มีขนาดเล็กกว่าในระดับ 2.5 ไมครอนนั้น กลับทำให้ให้อัตราการเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งปอดเพิ่มสูงมากขึ้นยิ่งกว่า โดยระดับของละอองฝุ่นขนาด 2.5 ไมครอน ที่เพิ่มขึ้นทุกๆ 10 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร จะทำให้อัตราความเสี่ยงโรคมะเร็งปอดเพิ่มสูงขึ้นเป็น 36%
หมายความว่า ฝุ่นยิ่งเล็ก ยิ่งอันตราย!!!
ความน่ากลัวของฝุ่นขนาดเล็กเหล่านี้ของประเทศไทยอยู่ตรงที่
1.เกินมาตรฐาน
2.มีปริมาณเพิ่มมากขึ้น
3.ยังไม่สามารถหาสาเหตุที่แท้จริงได้และอยู่ระหว่างการตรวจสอบหาสาเหตุในพื้นที่ดังกล่าว
จากการศึกษาผลกระทบของมลพิษทางอากาศในกรุงเทพมหานคร (Health Effects of Air Pollution in Bangkok) พบว่า
"ฝุ่นละอองขนาดเล็กในกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย จากปี พ.ศ. 2551 ได้พบว่า ฝุ่นละอองที่เพิ่มขึ้นทุกๆ 10 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร จะส่งผลทำให้ประชากร 1.9% เสียชีวิตด้วยโรคหลอดเลือดหัวใจมากขึ้น และเสียชีวิตเพิ่มมากขึ้น 1% ในทุกสาเหตุของโรค ทั้งนี้ระดับของฝุ่นละอองเฉลี่ยในปี พ.ศ. 2539 อยู่ที่ 65 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร, ในปี พ.ศ. 2545 เพิ่มขึ้นเป็น 68 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร แต่ในปี พ.ศ. 2547 กลับลดลงเหลือ 52 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร และสาเหตุที่สำคัญที่ทำให้มลพิษลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญก็อาจจะเป็นเพราะในช่วงเวลานั้นเป็นผลมาจากการเปลี่ยนพลังงานในภาคขนส่งจากการใช้น้ำมันดีเซลมาเป็นก๊าซธรรมชาติควบคู่กับการปรับปรุงข้อกำหนดต่างๆ มากขึ้น"
อย่าคิดว่าฝุ่นละอองเหล่านี้จะไม่เข้าสู่ร่างกาย เพราะเรามองไม่เห็น แม้แต่ในอาคารบ้านเรือน หรือแม้แต่ในรถทีปิดกระจกเปิดแอร์ก็ยังสามารถเกิดฝุ่นเหล่านี้เข้ามาได้