"ทางสองแพร่ง"การเมืองไทย
โดย นงนุช สิงหเดชะ
(ยาวหน่อย แต่มีแง่คิดค่ะ ลองอ่านดูนะคะ แล้วเทียบกับสถานการณ์ในวิชาชีพเราขณะนี้)http://www.matichon.co.th/matichon/mati ... ionid=0130วันที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 11051
การชุมนุมบนถนนราชดำเนินของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ประกาศยืนยันว่าจะเป็นการ "รบครั้งสุดท้าย" ที่มีเดิมพันว่าต้องชนะ หากไม่ชนะก็ต้องยกแผ่นดินให้กับ "ทักษิณ" และพวกไป ยังต้องเผชิญกับความท้าทายและความไม่แน่นอนหลายอย่าง
ความท้าทายนั้นก็คือว่าฝ่ายพันธมิตรจะสามารถแสดงเหตุผลเพื่อโน้มน้าวผู้คนมาเป็นแนวร่วมได้มากขึ้นเรื่อยๆ หรือไม่ โดยชี้ให้เห็นว่าการชุมนุมเป็นภารกิจสำคัญของพลเมืองต่อบ้านเมือง ไม่ใช่การสร้างความวุ่นวาย
ที่กล่าวเช่นนี้ก็เพราะว่าในขณะนี้ซีกของรัฐบาลหรืออีกนัยหนึ่งกลุ่มผู้สนับสนุนคุณทักษิณ ได้พยายามช่วงชิงความได้เปรียบในแง่การใช้สื่อของรัฐ กระจายข่าวเพื่อตอกย้ำให้คนเห็นว่าในสถานการณ์เศรษฐกิจย่ำแย่ น้ำมันและข้าวปลาอาหารแพง เช่นนี้ฝ่ายผู้ชุมนุมเป็นผู้ซ้ำเติมความเดือดร้อน ทั้งในแง่การจราจรที่มีการปิดทางสัญจรปกติทำให้ผู้คนละแวกนั้น ทั้งโรงเรียน ร้านค้า ได้รับผลกระทบ และทำให้นักลงทุนต่างประเทศชะลอการลงทุนในไทย
นอกจากนี้ฝ่ายผู้ชุมนุมยังต้องเผชิญกับความคิดเห็นของผู้คน (แม้ในกลุ่มผู้มีการศึกษาบางส่วน) ที่มีทัศนคติแตกต่างออกไปเกี่ยวกับการชุมนุม ฝ่ายหนึ่งมองแค่ว่าการชุมนุมสร้างความเดือดร้อน สร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจ ไม่มีความจำเป็นต้องชุมนุม นอนอยู่บ้านเฉยๆ ดีกว่า รัฐบาลจะทำอะไรก็ทำไป
อีกฝ่ายหนึ่งเห็นว่าคุ้มค่าที่จะชุมนุม เพราะทนไม่ได้ที่จะปล่อยให้รัฐบาลลูกกรอกทำอะไรตามใจชอบ โดยเฉพาะการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อช่วยเหลือคนบางคนไม่ให้ถูกนำขึ้นสู่กระบวนการยุติธรรม ดังนั้น จะมานั่งดูดาย เห็นว่าธุระไม่ใช่ไม่ได้ จะต้องลุกขึ้นมาทักท้วงขัดขวางความไม่ถูกต้อง
ความคิดเห็นของฝ่ายแรกที่เห็นว่าไม่มีความจำเป็นต้องชุมนุมนั้น ไม่คิดว่าในขณะนี้ประเทศมีปัญหาเรื่องโครงสร้างที่ฝังรากลึก นั่นก็คือปัญหาทางการเมืองที่ไม่พัฒนา ยังมีการซื้อเสียง ใช้อำนาจข้างมากในสภาเพื่อประโยชน์ตัวเองและพวกพ้อง เมื่อได้รับเลือกตั้งเข้ามาแล้วก็กลายร่างเป็นเผด็จการรัฐสภา ส่งผลให้กลไกตรวจสอบถ่วงดุลปกติในระบบรัฐสภาหรือในระบบการเมืองของตัวมันเองไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
คนเหล่านี้ยังคิดเพียงว่าการประท้วง การชุมนุมที่เกิดขึ้น เป็นแค่การ "ทะเลาะ" กันของคนเพียงไม่กี่คน เป็นการทะเลาะกันของฝ่ายทุนสามานย์กับฝ่ายศักดินา ฝ่ายที่คิดว่าการชุมนุมสร้างความวุ่นวาย ก็อาจเปรียบได้กับชาวสิงคโปร์ส่วนใหญ่ที่ถูกจำกัดเสรีภาพทางการเมืองและการแสดงความคิดเห็นมายาวนานกว่า 40 ปี เพราะถูกรัฐบาลปลูกฝังและโฆษณาชวนเชื่อเช่นนั้นมาโดยตลอด เชื่อว่าเพียงแค่อยู่ดีกินดี มีเงินใช้ก็เพียงพอแล้ว เรื่องเสรีภาพทางการเมืองจึงไม่จำเป็น
รัฐบาลสิงคโปร์ประสบความสำเร็จในการปลูกฝังเรื่องนี้แก่ประชาชนก็เพราะว่ารัฐบาลของเขามีจุดเด่นตรงที่ไม่โกงกิน และทำให้ชาวบ้านมีความเป็นอยู่ที่ดี (แม้จะถูกนินทาว่าโปร่งใสเฉพาะกับบ้านเมืองของตัวเอง แต่ขุ่นเมื่อไปลงทุนนอกประเทศก็ตาม) แต่ของไทยไม่ได้เป็นเช่นนั้นอย่างที่เห็นกันอยู่
ฝ่ายกุมอำนาจในปัจจุบันของไทยพยายามตอกย้ำเพื่อลดความน่าเชื่อถือของฝ่ายผู้ชุมนุมว่าต้องการล่อรถถังออกมาให้เกิดการรัฐประหารอีกครั้งหนึ่ง ฝ่ายกุมอำนาจรัฐฉวยโอกาสนี้ยกตนข่มท่านว่าเป็นพวกรักประชาธิปไตย ต่อต้านเผด็จการ และถือโอกาสป้ายสีให้กับกลุ่มผู้ชุมนุมว่าสนับสนุนการรัฐประหาร
การที่ฝ่ายกุมอำนาจรัฐ นำเรื่องรัฐประหารมาตอกย้ำป้ายสีผู้ชุมนุม ก็เพื่อเบี่ยงเบนประเด็นสำคัญที่กำลังถูกผู้ชุมนุมไล่บี้อยู่ในขณะนี้ นั่นก็คือการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อล้มกระดานคดีที่อดีตนายกฯถูกกล่าวหา นอกจากนี้ฝ่ายกุมอำนาจรัฐทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้พฤติกรรมอันน่าเกลียดของตัวเอง เห็นได้จากการไล่เช็คบิลฝ่ายที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการดำเนินคดีกับอดีตนายกฯ
กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ภายใต้อธิบดีคนใหม่ ดูเหมือนว่าจะขยันขันแข็งในการไล่บี้จะเอาผิดคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เรื่องพิมพ์บัตรเลือกตั้งเกิน แต่ดูเหมือนจะเอื่อยเฉื่อยในการเดินหน้าคดีปกปิดโครงสร้างการถือหุ้นของเอสซี แอสเสทฯ ที่คุณสุนัย มโนมัยอุดม อธิบดีคนเก่าได้ทำเอาไว้ ข้างฝ่ายตำรวจก็รับลูกรัฐบาลเหลือเกิน เพราะแค่เรื่องคุณสุนัย มโนมัยอุดม ที่ตอนนี้ถูกเด้งไปเป็นเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตภาครัฐ (ป.ป.ท.) ตำรวจก็เอาเป็นเอาตายไล่จับแบบไม่ให้เกียรติ ในคดีที่ถูกฝ่ายคุณทักษิณกล่าวหาว่าหมิ่นประมาทกรณีแถลงข่าวคดีเอสซี แอสเสทฯ
แต่ทำไมอดีตรัฐมนตรีที่ถูกตำรวจกล่าวหาในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ทางตำรวจจึงให้เวลามากมาย ไม่เห็นเร่งร้อนจับเลย ทั้งที่คนไทยจำนวนมากสะเทือนใจต่อเรื่องนี้ ทางตำรวจอ้างว่าเป็นถึงรัฐมนตรีจึงต้องให้เกียรติ แต่ทำไมกับคุณสุนัยซึ่งก็มีเกียรติและความน่าเชื่อถือเหมือนกันเพราะเคยเป็นถึงผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอุทธรณ์ ทำไมทางตำรวจจึงไม่ให้เกียรติ
นายตำรวจใหญ่คนหนึ่งประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไปแจ้งความดำเนินคดีนายทหารคนหนึ่ง กล่าวหาว่าออกมาพูดจาในทำนองสนับสนุนการรัฐประหาร แต่ไม่ยอมแจ้งความดำเนินคดีกับอดีตรัฐมนตรีที่ใช้ถ้อยคำหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
ภาพเหล่านี้ตอกย้ำตั้งข้อสังเกตของหลายฝ่ายว่าในขณะนี้ "รัฐตำรวจ" คืนชีพเป็นเครื่องมือให้กับรัฐบาลอีกคำรบหนึ่ง ซึ่งจะทำให้สถานการณ์บ้านเมืองไปสู่จุดอับและตีบตันหนักยิ่งขึ้น
ศึกครั้งนี้น่าจับตาผลลัพธ์เป็นอย่างยิ่งว่า คนไทยส่วนใหญ่จะเห็นด้วยกับเหตุผลของฝ่ายผู้ชุมนุมว่าทุกคนต้องเป็นธุระในการทำบ้านเมืองให้ดีขึ้น ด้วยการแสดงพลังกดดันนักการเมืองเลว หรือว่าสุดท้ายแล้วคนไทยส่วนใหญ่อยากนอนอยู่กับบ้านเพราะเห็นว่าการชุมนุมเป็นแค่เรื่องของการสร้างความวุ่นวาย