wannee เขียน:รู้สึกว่าเรื่องของการขาดการถ่วงดุลนี้เป็นเรื่องใหญ่มากๆ เป็นการเปิดช่องว่างให้ใช้อำนาจอย่างไม่ฟังเสียงใคร
แต่ก็ให้สงสัยอยู่ค่ะ ถ้าจะช่วยอธิบายเพิ่มเติมจะขอบคุณมากๆ
อย่างกรณีสภาออกข้อบังคับ ต้องผ่านรมต.สาธารณสุขก่อนถึงจะประกาศบังคับใช้ได้ โดยถ้า รมต.ไม่ลงนาม แล้วส่งกลับมาให้สภาใหม่ หากสภาพิจารณาแล้ว ยังยืนยันเหมือนเดิม สภาสามารถที่จะบังคับใช้ได้ ตรงนี้ มีบางคนบอกว่าเป็นการทำให้สภาอิสระจากนักการเมือง แต่ก็กลายเป็นการให้อำนาจที่มากเกินไปกับสภา ซึ่งดูว่ามันมีทั้งข้อดีข้อเสีย ไม่ว่าจะพยายามออกกฎระเบียบกันอย่างไร มันก็ให้มีช่องว่างที่คนมันจะดิ้น ประเด็นที่สงสัยคือว่า แล้วมันจะมิต้องไปไล่ออกกฎระเบียบหรือข้อบังคับกันให้เต็มไปหมดเลยเหรอ ตอนนี้กำลังเจอสภาพการณ์ในที่ทำงานที่ พอมีอะไรขึ้นมานิดนึงก็ตั้งกรรมการ หรือคณะทำงานร่างกฎระเบียบ บอกตามตรงว่าเบื่อมาก....(บ่นอีกแล้ว)
:
ขอบคุณที่ติดตามครับ
ผมก็พึ่งรู้ว่าขั้นตอนการร่างกฎหมายในเภสัชรัฐเป็นอย่างนี้
ถ้าเป็นระดับชาติ รับรองว่าสภาทั้งสภาติดคุกหัวโต ด้วยต้องความผิดฐานหมิ่นอำนาจของกษัตริย์แห่งรัฐ
ถ้านำหลักการแห่งการถ่วงดุลอำนาจมาเปรียบเทียบองค์กรและบุคคลากรในสภาเภสัชกรรมไทยกับระดับชาติไทยเป็นดังนี้ครับ
๑.รัฐของเภสัชกร = ประเทศไทย
๒.อำนาจอธิปไตยในรัฐของเภสัชกร = อำนาจอธิปไตยของไทย
ประกอบด้วยสามองค์กรคือ
๒.๑ คณะกรรมการที่ร่างข้อบังคับ = สภานิติบัญญัติ(สภาผู้แทน+วุฒิสภา)
-ข้อบังคับสภาเภสัช = กฎหมาย
๒.๒ ฝ่ายบริหารของสภา = รัฐบาล
-นายกสภาเภสัช = นายกรัฐมนตรี
๒.๓ คณะกรรมการพิจราณาตัดสินคดี = ศาล
**ผมมิบังอาจเขียนเปรียบเทียบให้เห็นนะครับว่ารัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขเปรียบเป็นใคร เพราะเป็นการไม่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง**
ซึ่งถ้าจะให้เป็นการถูกต้องตามหลักการในการส่งเสริมและก่อให้เกิดสิทธิและเสรีภาพในรัฐ จะต้องมีการถ่วงดุลอำนาจในข้อ ๒.๑, ๒.๒,๒.๓ ให้แยกออกจากกันอย่างเด่นชัด โดยให้มีฐานะเท่าเทียมกัน และแต่ละอำนาจไม่สามารถชี้นำอำนาจที่เหลือได้
มิใช่อย่างที่เห็นในสภาเภสัชของเราท่านทั้งหลายในทุกวันนี้ส่วนในเรื่องของการเปลี่ยนแปลง ซึ่ง"ต้องไปไล่ออกกฎระเบียบหรือข้อบังคับกันให้เต็มไปหมด" นั้นเป็นสิ่งที่หากมุ่งมั่นเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดี ย่อมไม่เหลือบ่ากว่าแรงที่จะทำ ( "ถ้าไม่ทำแล้วเมื่อไหร่จะได้ทำ?")
ในความเห็นผมนะครับ..ถ้ามีสภาชุดใดที่กล้าเปลี่ยน และตั้งใจเปลี่ยนแปลงระบบให้เป็นไปในทางที่ถูกต้อง สภาชุดนั้นจะถูกโลกนี้จารึกไว้ว่าได้ทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ให้กับรัฐเภสัชกรไทย เป็นผู้ทำให้รัฐเภสัชกรไทยเปลี่ยนแปลงไปสู่ระบบที่ดีกว่า ยั่งยืนกว่า
"สมควรที่ได้รับการยกย่องเทิดทูนเป็นปูชณียบุคคลของเภสัชกรไทย"ปล.
เขียนมาถึงตรงนี้แล้วผมเห็นว่าคงต้องมีกล่าวถึงแนวคิดสองอย่างที่เป็นความจริงและมีส่วนสำคัญที่ทำให้เภสัชรัฐไม่พัฒนา เป็นไปอย่างการเจริญของคนง่อยเปลี้ยเสียขาขาดสารอาหารแคระแกร็นไม่เติบโตซักที,
ผมจะต่อด้วยเรื่อง..
..แนวคิดของฌอง ชาค รุสโซ : อำนาจเป็นของเภสัชกรทุกคนในไทย (Sovereigntiy of Population)
..แนวคิดของ ซีเอเย่ส์ : อำนาจเป็นของกูผู้เป็นกรรมการสภา(Sovereigntiy of Nation)
ครับ