ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ที่พิพากษาจำคุกนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี และนายดุสิต ศิริวรรณ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ฐานหมิ่นประมาทอดีตรองผู้ว่าการกรุงเทพมหานคร เป็นเวลา 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา
โดยศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ที่จำเลยอุทธรณ์ว่า ถ้อยคำที่กล่าวในรายการเป็นการนำข้อมูลที่ได้รับจากผู้ชมในรายการมาบอกกล่าว ไม่ได้จงใจใส่ความโจทก์ให้ได้รับความเสียหายนั้น ศาลเห็นว่าเป็นพียงข้อกล่าวอ้างที่เลื่อนลอยไม่มีน้ำหนัก ส่วนที่จำเลยทั้งสอง อุทธรณ์ขอให้รอการลงโทษ จำเลยที่ 1 อ้างว่า เคยประกอบคุณงามความดี รับใช้ประเทศชาติมาจนอายุ 72 ปี เคยตำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีหลายกระทรวง เป็นผู้ว่าฯ กทม.โดยได้รับการเลือกตั้งกว่า 1 ล้านเสียง และเป็น ส.ว.ของ กทม.ที่ได้รับคะแนนเสียงกว่า 2 แสนเสียง ศาลเห็นว่าการกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการจงใจทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จำเลยเคยดำรงตำแหน่งระดับสูงและย่อมรู้ว่าคำพูดของจำเลย ทำให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ อีกทั้งจำเลยทั้งสองยังไม่ได้สำนึก กระทำการเพื่อบรรเทาความเสียหายให้กับโจทก์ ประกอบกับจำเลยที่ 1 เคยต้องโทษฐานหมิ่นประมาท จนคดีถึงที่สุดมาแล้วถึง 3 ครั้ง คดีไม่มีเหตุให้รอการลงโทษพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ให้จำคุกจำเลยทั้งสอง 4 กระทงๆ ละ 6 เดือน รวมจำคุกคนละ 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา
กรณีนี้สืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ 12 เม.ย.50 ศาลอาญากรุงเทพใต้ มีคำพิพากษาจำคุกนายสมัครและ นายดุสิต เป็นเวลา 24 เดือน โดยไม่รอลงอาญา ในความผิดฐานหมิ่นประมาทนายสามารถ ราชพลสิทธิ์ อดีตรองผู้ว่ากรุงเทพมหานคร โดยครั้งนั้นศาลอนุญาตให้บุคคลทั้งสองประกันตัวได้ และบุคคลทั้งสองได้ยื่นขออุทธรณ์ในคดีดังกล่าว
เมื่อต้นเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา นายสมัคร ซึ่งขณะนั้นยังดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้ทนายความ ยื่นคำร้องต่อศาลอาญา เพื่อขอเลื่อนฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยระบุเหตุผลว่า ต้องเดินทางไปประชุมที่องค์การสหประชาชาติ (UN) ทำให้ไม่สามารถเดินทางมาฟังคำพิพากษาศาลฯตามกำหนดนัดได้ ซึ่งศาลอาญา ได้นัดให้ฟังคำสั่งในวันนี้ ว่าจะเลื่อนอ่านคำพิพากษาหรือไม่ แต่ต่อมาเมื่อวันที่ 9 ก.ย. ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยให้นายสมัคร สิ้นสุดความเป็นนายกรัฐมนตรี ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ กรณีเป็นพิธีกรดำเนินรายการ "ชิมไปบ่นไป" และรายการ "ยกโขยงหกโมงเช้า" ที่ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ ศาลจึงไม่เลื่อนอ่านคำพิพากษาดังกล่าว
นายธนพิชญ์ มูลพฤกษ์ โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ระบุว่า หากวันนี้ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นสั่งจำคุก นายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี คดีหมิ่นประมาท นายสามารถ ราชพลสิทธิ์ อดีตรองผู้ว่าฯ กทม. ตามขั้นตอนทางกฎหมายนั้น นายสมัคร ยังสามารถยื่นฎีกาได้ โดยจะต้องให้ อัยการสูงสุด ลงนามสลักหลังในคำร้องขอฎีกา แต่หากอัยการสูงสุด ไม่ลงนามคำร้อง นายสมัคร ยังมีช่องทางคือ สามารถยื่นเรื่องต่อผู้พิพากษาที่พิจารณาคดี เพื่อขอให้ส่งเรื่องสู่ศาลฎีกาได้เช่นกัน ซึ่งต้องขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาลว่า จะพิจารณาเช่นไร แต่หากทั้งสองช่องทางไม่เห็นด้วย นายสมัคร ก็จะต้องถูกดำเนินคดีตามคำตัดสิน
สำหรับความเห็นอัยการสูงสุดว่า จะรับรองคำร้องขอฎีกาหรือไม่นั้น นายธนพิชญ์ บอกว่า ไม่สามารถตอบแทนได้ ทั้งนี้นักวิชาการทางกฎหมาย ได้คาดการณ์คดีหมิ่นประมาทดังกล่าว เป็นคดีความผิดต่อส่วนตัวที่ นายสามารถ ฟ้อง นายสมัครต่อศาลโดยตรง พนักงานอัยการ มิได้เกี่ยวข้องในคดีนี้แต่อย่างใด จึงไม่มีเหตุที่อัยการสูงสุด ต้องเข้าไปเกี่ยวข้องรับรองให้ นายสมัคร ฎีกา
ขณะที่ นายสามารถ ราชพลสิทธิ์ อดีตรองผู้ว่าราชการกทม. กล่าวว่า มั่นใจในกระบวนการยุติธรรมของศาล พร้อมกับยอมรับว่า ก่อนหน้านี้มีผู้ใหญ่ของบ้านเมืองท่านหนึ่งพยายามไกล่เกลี่ยให้ตนยอมความ แต่ตนยืนยันว่าจะขอใช้สิทธิ์ต่อสู้คดี ทั้งนี้เตรียมยื่นฟ้องศาลแพ่งเพื่อเรียกค่าเสียหาย จำนวน 100 ล้านบาท แต่ต้องรอให้คดีอาญาสิ้นสุดก่อน