pharmacy เขียน:เรื่องของเรื่องเกิดมาจากมาจากอาจารย์มหาวิทยาลัยบางคนอยากดัง อยากแสดงบทบาทตัวเอง ก็แค่นั้น
บทบาทของวิชาชีพเภสัชกรรมที่ลดลงก้เกิดจากการที่ อจ.มหาวิทยาลัยอยากมีรายได้เพิ่มขึ้นโดยเปิดภาคสมทบ ภาคลูกหลานร้านขายยา ภาคค่ำ แต่ไม่คิดจะพัฒนา จะปรับปรุงหลักสูตรการเรียนเภสัชกรรม คิดแต่อยากจะหาเงิน
เห็นรายชื่อ อจ.มหาวิทยาลัยที่อยากดัง ก็ได้แต่ปลง อีโก้สูงกันทั้งนั้น แต่ไม่เคยทำงานเอกชนสักคน ไม่เคยแม้แต่ผ่านงานในระบบโรงพยาบาล ไม่เคยผ่านงานเอกชน ไม่เคยผ่านงานโรงงานสักคน
พอสภาเภสัชกรรมคิดจะควบคุมมหาวิทยาลัย ก็ออกมาดาหน้าประท้วงหลักสูตร 6 ปี
ไปมองโลกรอบรอบตัวพวกคุณอาจารย์ทั้งหลายบ้างเถอะครับ พวกคุณก้เรียนจบมาก็เป็น อจ. เรียนต่อ แล้วก็สอนหนังสือ แต่เรื่องราวคตวามก้าวหน้าของเภสัชกรในภาครัฐบาล เรื่องราวเภสัชกรล้นตลาด กูไม่สน ขอให้กูได้รายได้พิเสษจากการสอนภาคสมทบ
เอาง่ายง่ายหลักสูตรที่ อจ.มหาวิทยาลัยสอนอยู่ทุกวันนี้ เคยคิดจะปรับปรุงหลักสูตรบ้างไหมครับ
บอกตรงตรง ทุเรศครับ ทุเรศกับความคิดของ อจ.มหาวิทยาลัยบางคน
ยินดีรับฟังค่ะ
ความเห็นต่างไม่เป็นไร แต่อย่าให้ข้อมูลผิดนะคะ แน่ใจในสิ่งที่เขียนมาข้างบนนะ...ว่าถูกต้อง
ต่างคนต่างมี background ไม่เหมือนกัน ความเห็นจึงต่างกัน ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลก
แต่กระบวนจัดการกับความเห็นที่ต่างกันสิเป็นเรื่องสำคัญ การจะคิดว่าเป้นเพราะคนนั้นอยากดัง คนนี้อยากดังก็ไม่แปลก แต่การอ้างว่าเค้าอยากดังมาเป็นเหตุผลนั้น มีความเป็นเหตุผลที่รับฟังได้มากน้อยแค่ไหน เพราะเหตุผลอย่างนี้ ถ้ามีคนพูดบ้างว่าบางคนที่สภาเภสัชกรรมอยากดัง อยากให้ประวัติศาสตร์จารึกชื่อตัวเอง ก็พูดได้เช่นกัน แต่รับฟังได้ไหม สมควรเอามาเป้นเหตุผลประกอบไหม
เวลาสังเกตคนนะ อยากให้ลองสังเกตสิ่งเหล่านี้ไว้ด้วย เพระมันจะพัฒนาตัวเราเองด้วย อย่าไปติดกับดักแค่ว่าเพราะคนนั้นเป็นอย่างนั้น คนนี้เป็นอย่างนี้ อย่างนี้เป็นการใช้ "ความเชื่อ" ไม่ได้ใช้ "ความคิด"
แต่ก็ดีใจนะ ที่ได้รับความเห็นนี้ มันบอกอะไรหลายอย่างดี ขอบคุณค่ะ
การถกเถียงทางความคิด และการตัดสินใจที่กระทบกับคนอื่น อย่าเอาเหตุผลพวกนี้มาใช้ เพราะมันก็พูดว่ากันไปมาได้ทั้งสองฝ่าย
ลองจินตนาการดูว่า ถ้าต่างฝ่ายต่างก็ยกเอาเหตุผลประเภทนี้ขึ้นมา แล้วมันจะมีทางออกที่ดีได้อย่างไร ทางออกมันเลยไปขึ้นอยู่กับว่า ตอนนั้นใครมีอำนาจ ซึ่งเป้นเรื่องอันตรายมากสำหรับสังคม